“วุ้นจุ่น” จากแมวข้างถนนสู่ผู้สร้างรอยยิ้มให้ออฟฟิศเหมียว สู้กับลูคีเมียจนลมหายใจสุดท้าย

ขึ้นชื่อว่าทำงานแล้วก็ต้องมีเหนื่อยเป็นธรรมดา ไม่เหนื่อยกายก็เหนื่อยใจ หลายคนจึงหาแรงบันดาลใจหรือกำลังใจในการทำงาน เพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีความสุข

สำหรับพวกเราชาวเหมียว กำลังใจสำคัญที่ทำให้เราอยากมาทำงานทุกวันคือ เหล่าแมวเหมียวประจำออฟฟิศทั้ง 3 ตัว พวกมันคอยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และสร้างสีสันให้ออฟฟิศมาเสมอ

 

ทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วยวุ้นจุ่น พี่ใหญ่สุด

 

หวานแจ๋ว สาวหวานตัวเดียวของออฟฟิศ

 

และเวนเจอร์ น้องเล็กที่เกิดมาพร้อมความพิเศษ เลยเอ๋อๆ หน่อย

 

เพื่อนๆ หลายอาจจะเพิ่งรู้จักพวกมันเป็นครั้งแรก แต่เราเสียใจที่ต้องบอกว่า 1 ใน 3 ตัวนี้ ได้จากเราไปตลอดกาลแล้ว นั่นก็คือ วุ้นจุ่น พี่ใหญ่ของออฟฟิศเหมียว

 

 

การเดินทางของวุ้นจุ่นเริ่มต้นขึ้นเมื่อประธานเหมียวหรือบอสแห่งแคทดั๊มบ์ของเราได้รับเลี้ยงมันต่อจากน้องคนหนึ่งที่ต้องไปเรียนต่อในระดับมหาลัย และไม่สามารถพาเจ้าเหมียวไปด้วยได้

น้องคนนั้นบอกว่าวุ้นจุ่นพร้อมพี่น้องอีก 2 ตัว ถูกแม่คลอดทิ้งไว้ เมื่อเธอไม่สามารถดูแลต่อไป บอสจึงรับเลี้ยงทั้ง 3 ตัว และตั้งชื่อพวกมันว่า วุ้นจุ่น ว็อทจั้บ และหวานแจ๋ว

 

 

บอสรับเลี้ยง 3 พี่น้องประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ปี 2014 และคาดว่ามันน่าจะเกิดประมาณช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ปี 2014 ดังนั้นเขาจึงถือว่าให้ทุกตัวเกิดวัน 23 พฤษภาคม ปี 2014 ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่บอสได้สร้างเว็บไซต์แคทดั๊มบ์

 

 

ในบรรดา 3 ตัวนี้ วุ้นจุ่นตัวอ้วนที่สุดและหนักที่สุด ขณะที่ว็อทจั้บมีรูปร่างอ้วนพอๆ กับมัน แต่เนื้อจะเหลวๆ ไม่แข็งแกร่งแบบวุ้นวุ่น

วุ้นจุ่นเป็นแมวที่ชอบออกไปผจญภัยนอกบ้าน ทุกครั้งที่บอสเปิดประตู มันจะฉวยโอกาสนั้นวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ชอบไปตีกับหมาโกลเด้นข้างบ้านเป็นประจำ

 

 

แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ทันได้ตีหรอกกับน้องหมาหรอก มันไปยืนขู่เค้าเฉยๆ แล้วเค้าไม่เล่นด้วย พอเค้าเห่าใส่มันก็รีบวิ่งหนีทันที

ความซุกซนของมันไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะนอกจากจะชอบไปยั่วน้องหมาแล้ว มันยังชอบปีนต้นไม้สุดๆ อีกด้วย แต่เห็นมันชอบความตื่นเต้นแบบนี้ จริงๆ มันเป็นแมวขี้ป๊อด บอสพาขับรถเที่ยวเมื่อไหร่มุดหัวตลอดทาง

 

 

ต่อมา บริษัทได้ย้ายออฟฟิศ ซึ่งก็คือที่อยู่ปัจจุบันนี้ บอสได้พาวุ้นจุ่นมาอยู่ด้วย แต่ไม่มีว็อทจั้บ เพราะมันได้จากไปก่อนเมื่อต้นปี 2015 เนื่องจากมีเนื้องอกที่ในอก

ดังนั้น ออฟฟิศเหมียวจึงมีวุ่นจุ่น หวานแจ๋ว และเว็นเจอร์ น้องเล็กสายเอ๋อที่ถูกรับเลี้ยงหลังสุด ทั้งสามตัวกลายเป็นตัวสร้างรอยยิ้มประจำออฟฟิศ

 

 

แต่ตอนแรกที่ย้ายเข้ามาใหม่ๆ วุ้นจุ่นขี้กลัวมากๆ มันวิ่งไปหามุมแล้วหลบอยู่ตรงนั้นตั้งนานสองนานแหนะ แต่หลังจากที่มันเริ่มรู้สึกคุ้นที่ มันก็กลายเป็นแมวที่รักการผจญภัยเหมือนเดิม

เนื่องจากบ้านใหม่แห่งนี้มีรถเข้าออกตลอดเวลา เจ้าเหมียวทั้ง 3 จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปข้างนอกเอง แต่ถึงอย่างนั้น พวกมันก็มีความสุขกับการเล่นกับพนักงานเหมียวข้างใน

 

 

ทุกๆ เช้าที่มาถึง พนักงานจะทักทายเจ้านายเหมียวทั้ง 3 ตัวที่มารอต้อนรับก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยเริ่มทำงาน และระหว่างทำงานก็จะมีเจ้าขนปุยพวกนี้แหละที่คอยมากวนตลอด

โดยเฉพาะเจ้าวุ้นจุ่น เมื่อไหร่ก็ตามที่พนักงานลุกจากเก้าอี้ มันจะรีบเข้าไปยึดทันที พอกลับมาต้องบอกกับมันอย่างนุ่มนวลว่า ‘ขอเถอะวุ้น ให้เค้าได้ทำงานก่อน เดี๋ยวงานไม่เสร็จ’ และอุ้มมันออกไป มันถึงจะยอมไป

 

 

เท่านั้นยังไม่พอ บางทีนั่งทำงานอยู่ดีๆ มันก็จะเอาหน้ามาถูกจอโน๊ตบุ๊กบ้าง นั่งทับคีย์บอร์ดบ้าง หรือบางทีก็นอนอ่อยตรงหน้า เพื่อให้เราลูบพุงให้ บางคนลูบเพลินจนไม่ได้ทำงานเลยก็มี

การมีเจ้านายขนปุยมาวุ่นวายด้วยตลอดการทำงาน ทำให้พนักงานทำงานกันอย่างมีความสุข บางทีแค่ได้เห็นหน้ามัน เรียกชื่อมัน ก็มีกำลังใจในการทำงานแล้ว

 

 

เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ทุกคนต้องกลับบ้าน เจ้าวุ้นก็จะออกมายืนส่งจนทุกคนกลับบ้านจนครบ จากนั้นมันก็จะนั่งรอให้ถึงเช้าวันใหม่ เพื่อที่จะได้เจอพนักงานอีก

หากมีพนักงานใหม่ เจ้าเหมียวจะตีสนิทกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว และทำให้พวกเขาตกเป็นทาส บางคนไม่เคยเลี้ยงแมว ไม่เคยคลุกคลีกับแมว แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ พวกเขาจะเกิดความเอ็นดูและหลงรักแมวโดยไม่ทันตั้งตัว

 

 

บรรยากาศการทำงานร่วมกับแมวเป็นไปอย่างอบอุ่นและเต็มไปด้วยสีสันมาเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่ง วุ้นจุ่นจอมซนใช้ความรวดเร็วและความแข็งแกร่งเปิดประตูบานเลื่อนตอนที่ทุกคนเผลอ แล้ววิ่งออกไปข้าง

จากนั้นมันก็หายไปเป็นเวลา 2 วัน

 

 

หลังจากตามหาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดชาวเหมียวก็ตามหาวุ้นจุ่นจนเจอ และนำมันกลับเข้ามาในออฟฟิศ ทุกอย่างก็เหมือนปกติดี วุ้นไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร

แต่ไม่นานหลังจากนั้น มันก็แสดงอาการป่วยออดๆ แอดๆ บวกกับมีเนื้องอกที่ในอก จากโรคลูคีเมียอยู่แล้วด้วย

ตอนอายุได้ 3 ขวบ วุ้นน้ำหนักอยู่ที่ 7 กิโลกรัม แต่หลังจากที่มันเริ่มแสดงอาการป่วยในปี 2017 มันก็ผอมลงเรื่อยๆ กระทั่งปลายปีเดียวกัน จู่ๆ มีเลือดออกจากจมูกของมัน หายใจติดขัด บอสจึงรีบพามันไปหาหมอทันที

 

 

คุณหมอตรวจพบว่ามันเป็นเนื้องอก จึงได้ทำการผ่าตัดให้ แต่น่าเศร้า การผ่าตัดครั้งนั้นไม่ได้ทำให้วุ้นจุ่นหายดี กลับกันวุ้นจุ่นของเราต้องผ่าตัดอีก 3-4 ครั้ง นับตั้งปลายปี 2017 มาจึงถึงต้นปี 2018

ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นคือ ผ่าตัดเท่าไหร่ เนื้องอกก็ไม่หมดสักที แต่ยิ่งเพิ่มขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ จนคุณหมอบอกว่าถ้าผ่าจนหมดจะเป็นอันตรายต่อโครงสร้างจมูก จึงไม่สามารถผ่าตัดมากกว่านี้ได้

 

 

ตั้งแต่วุ้นจุ่นเริ่มรักษาตัว พนักงานในแคทดั๊มบ์ได้ติดตามอาการของมันตลอด ทุกคนถามบอสเสมอว่ามันเป็นยังไงบ้าง คุณหมอทำอะไรบ้าง และเราจะช่วยมันได้ยังไง

แน่นอนว่าเราช่วยอะไรมันไม่ได้ นอกจากให้กำลังใจมัน ในขณะที่วุ้นเองก็สู้อย่างเต็มที่ ดูจากภายนอกแล้ว เรายังรู้สึกเจ็บแทนมันได้ด้วยซ้ำ แต่วุ้นยังคงพยายามใช้ชีวิตเหมือนปกติ

 

 

มันเข้าไปอ้อนคนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง บางทีก็ทำตัวเป็นเจ้านายนั่งอยู่บนโต๊ะ คอยสอดส่องการทำงานของพนักงาน ทั้งๆ ที่ร่างกายของมันทรุดลงเรื่อยๆ

ทุกคนช่วยกันดูแลวุ้นจุ่นอย่างประคับประคอง คอยคุย คอยเล่นกับมันอยู่เสมอ เพื่อให้มันรับรู้ว่าเราทุกคนที่นี่รักและเป็นห่วงมันเสมอ

 

 

แต่สุดท้าย อาการของวุ้นจุ่นแย่ลงจนไม่สามารถกินหรือขับถ่ายเองได้ เนื้องอกตรงจมูกโตขึ้นเรื่อยๆ จนเนื้อที่หุ้มกระดูกแตก พนักงานหลายคนถึงกับน้ำตาซึมทุกครั้งที่มองหน้ามัน

ในระหว่างนี้ แม่บ้านประจำออฟฟิศได้ทำงานที่แม่ให้กับมัน เธอคอยเช็กแผลให้ ป้อนข้าว ป้อนน้ำ และป้อนยาให้ รวมทั้งช่วยมันในเรื่องขับถ่าย

 

 

วุ้นจุ่นสู้มาจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต มันผอมมากๆ จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ตอนนั้นทั้งบอส แม่บ้าน และพนักงานทุกคนเริ่มเตรียมใจแล้วว่ามันจะอยู่กับเราได้อีกไม่นาน

ทุกคนจึงพยายามใช้เวลากับให้มากที่สุด บางคนยอมอู้งานเพื่อไปคุยเป็นเพื่อนวุ้น ในขณะที่หลายคนยอมกลับบ้านช้าเพื่อที่จะได้อยู่กับวุ้นให้นานขึ้น

 

 

ไม่มีใครรู้เลยว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายของวุ้นจุ่น กระทั่งช่วงต้นเดือนตุลาคม เจ้าเหมียวเริ่มไม่ตอบสนอง ขยับตัวแทบไม่ได้ มันจึงได้แต่นอนและหายใจอย่างโรยริน

และแล้ว วุ้นจุ่นก็ได้จากเราทุกคนไปในวันที่ 12 ตุลาคม ปี 2018 ท่ามกลางความเสียใจของพนักงานเหมียว แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าพอมันจากไปจริงๆ จะทำให้เสียใจได้มากขนาดนี้

 

 

พนักงานเหมียวได้นัดกันฝังศพวุ้นจุ่นในเช้าวันรุ่งขึ้น โดยฝังไว้ใต้ต้นไม่ใกล้กับออฟฟิศ เพื่อที่เราจะได้ไปเยี่ยมมันได้บ่อยๆ

ตอนนี้วุ้นไม่ต้องทรมานอีกต่อไป และเราทุกคนก็หวังว่าวิญญาณของมันจะยังคงเฝ้ามองเหล่าพนักงานเหมียวจากที่ไหนสักแห่ง

 

 

สิ่งที่พนักงานเหมียวอยากให้วุ้นจุ่นรับรู้คือ เราทุกคนคิดถึงมันเสมอและมันจะอยู่ในใจของเราตลอดไป เมื่อมีพนักงานใหม่เข้ามา เราจะบอกพวกเขาว่าครั้งหนึ่ง เจ้าวุ้นได้สร้างความสุขให้ที่นี่มากแค่ไหน

 

 

เรียบเรียงโดย เหมียวขี้ส่อง


Tags:

Comments

Leave a Reply