8 กฎสำคัญจากผู้เชี่ยวชาญ “ขับรถหน้าฝน” ให้ปลอดภัย ลดโอกาสตายน้อยที่สุด!!

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นเมืองฝนตกชุก แม้กระทั่งฤดูร้อนก็อาจจะมีพายุจนทำให้ขับรถลำบาก ทั้งไหนจะฝนที่ตกลงมา ที่ร้ายกว่านั้นคือสภาพถนนที่ไม่ดีในบางช่วง อาจจะนำไปสู่อุบัติเหตุได้

จากข่าวคราวอุบัติเหตุทางถนนที่มากมาย เราลองมาดูคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญที่แนะนำเทคนิคดีๆ ให้ได้รับทราบกันว่า ควรจะขับรถอย่างไรเพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุให้เหลือน้อยที่สุด…

 

 

1. เริ่มจากรถเรา ทำความสะอาดทั้งคอนโซล-กระจก

คงจะไม่ดีแน่ๆ ถ้าจังหวะหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต เราเกิดอุบัติเหตุเพราะมือลื่นจากพวงมาลัยที่สกปรกเกินไป หรือกระจกที่มัวแล้วฝนตกใส่จนทำให้เรามองไม่เห็น

ในหน้าฝนนั้นความสะอาดของรถถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรให้ความใส่ใจเป็นอันดับแรกๆ แม้ตัวรถอาจจะล้างให้ใสปิ๊งได้ยากเพราะฝนตกตลอด แต่เราต้องมั่นใจว่า พวงมาลัย แท่นเกียร์ แป้นเบรก คันเร่ง กระจก สิ่งเหล่านี้ต้องสะอาดพร้อมใจงานเสมอ

 

2. สภาพยาง

สภาพยางแบ่งออกได้เป็น 2 เรื่อง คือสภาพของลมยางที่พร้อมกับการใช้งาน ตามคำแนะนำที่รถทุกคันจะมี และอีกเรื่องคือสภาพของยางจริงๆ ซึ่งการใช้งานยางรถยนต์นั้นปกติแล้วคำแนะนำจะอยู่ที่ 3 ปีหรือประมาณ 50,000 กิโลเมตร

แต่เราสามารถเช็คยางด้วยตนเอง เช่นการจิกยางแล้วไม่ยวบเกินไป สภาพดอกยางยังดี ยางไม่มีรอยแตก และร่องยางยังคงลึกเกิน 1.6 มิลลิเมตร ก็สามารถใช้งานต่อได้

 

3. ตัวเราเอง โฟกัสตลอดเวลา

การขับรถโดยเฉพาะตอนฝนตก เราต้องใช้สติโฟกัสไปที่ถนนมากกว่าเดิม คอยสังเกตว่าข้างหน้าสภาพถนนเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือมี “แอ่งน้ำ” หรือไม่ เพื่อปรับรูปแบบการขับขี่ให้เข้ากับสถานการณ์นั้นมากที่สุด

 

4. สองมือจับพวงมาลัย

บางคนติดนิสัย “ขับรถมือเดียว” แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่บางครั้งก็ทำกันในช่วงเวลาปกติ ซึ่งถ้าหากเป็นช่วงเวลา “ฝนตก” แล้ว ควรเลิกนิสัยนี้เด็ดขาด

เพราะเราไม่สามารถทราบว่าจะเกิดเหตุฉุกเฉินกะทันหันอะไรขึ้น และสองมือนั้นจะควบคุมรถได้ดีกว่ามือเดียวหลายเท่าอีกด้วย

5. กฎ 5 วินาที

ปกติแล้วเราจะมีกฎ 3 วินาทีก็คือ ขับรถเว้นห่างจากคันหน้าประมาณ 3 วินาที โดยการนับจุดที่คันหน้าผ่าน แล้วนับไปให้ได้ 3 วินาทีรถเราถึงจะผ่านจุดนั้น ซึ่งถ้ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเราจะสามารถหลบเลี่ยงได้ทันแน่นอน

แต่หากเป็นช่วงเวลาฝนตก เราต้องขยายช่วงเวลาจาก 3 วินาทีเป็น 5 วินาที หากเราเว้นระยะห่างกันหน้าแบบนี้แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะสามารถหลบเลี่ยงได้ทันแน่นอน

 

6. เลี่ยงการย่ำเบรก

เราต่างรู้ว่าการย่ำเบรกกะทันหันทำให้รถเสียการควบคุมและสไลด์ไปบนถนนได้ แต่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหลายคนก็จะลืมตรงจุดนี้และย่ำเบรกอย่างแรง

หากรถที่มีระบบ ABS ก็จะช่วยเซฟในจุดนี้ไปได้ส่วนหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามการฝึกเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ หรือกระทั่งการไม่ขับเร็วเกินไป ไม่ขับจี้คันหน้า ก็จะช่วยลดโอกาส “ย่ำเบรก” ของเราให้น้อยลงไปอีก

 

7. ขับให้ช้าลง

แม้จะฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ ฝนตกเหรอก็ขับช้าสิ แต่หลายคนไม่สามารถทำในจุดนี้ได้ ถ้าจะพูดตามหลักปฏิบัติจริงแล้ว เราจะเห็นป้ายกำหนดความเร็วที่ติดอยู่ข้างทางกันเสมอ และมักจะขับเกินความเร็วนั้น

ในเวลาปกติ การขับเกินความเร็วที่กำหนดเล็กน้อยเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไป แต่เมื่อฝนตกขอแนะนำให้ทุกคน “ปฏิบัติตามความเร็วที่กำหนดอย่างเคร่งครัด” เพราะความเร็วเหล่านั้นได้ออกแบบมาเพื่อถนนและโค้งต่างๆ การปฏิบัติตามจะปลอดภัยกับชีวิตเรามากที่สุด

 

8. ไม่ไหวก็จอด ไม่ต้องอาย!!

ทางเลือกสุดท้ายคือ ถ้าฝนตกหนักเกินไปแทบมองไม่เห็นทาง แวะข้างทางหรือแวะปั๊มก็เป็นทางเลือกที่ดีมาก หากขับทางไกลแล้วไม่มีปั๊มจริงๆ ก็หาขอบทางที่สามารถเอารถไปหลบได้ หยุดชิดซ้าย เปิดไฟฉุกเฉินรอไว้จนกว่าฝนจะเบาลงหรือหยุดตก

หลายคนอายไม่กล้าทำ เพราะกลัวว่าจะโดนมองเป็นมือใหม่ขับไม่เก่ง หรืออายรถข้างหลัง หรืออาจจะอยากรีบไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

แต่อย่าลืมว่า ถึงช้า แต่ก็ไปถึงชัวร์ๆ ย่อมดีกว่าการเอาชีวิตทิ้งไว้ริมทางอย่างแน่นอน….!!

 

และนี่ก็หวังว่าจะเป็นแนวทางให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม หากขับรถตอนฝนตกครั้งหน้า ก็ขอให้ปลอดภัยถึงจุดหมายปลายทาง กลับไปกอดคนที่บ้านอย่างมีความสุขทุกคนนะครับ!!

#ประธานเหมียว

ภาพ: wikihow


by

Tags:

Comments

Leave a Reply