10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด

ในโลกใบนี้มีความเชื่อผิดๆ อยู่มากมายกว่าที่คิด บางสิ่งบางอย่างเป็นอะไรที่เราได้ยินมาตั้งแต่เมื่อสมัยยังเด็ก และหลายๆ อย่างที่เราเชื่อกันมาเพราะมันฟังดูสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ไม่ถูกต้องนั้นสักวันก็จะถูกพิสูจน์ และนำมาซึ่งความจริงที่ถูกต้องกว่า ดั่งเช่น 10 นิสัยผิดๆ ที่พวกเราอาจจะคิดว่าทำแล้วดี แต่ที่จริงแล้วมันกลับไม่ได้ดีอย่างที่คิด ต่อไปนี้

 

การทำความสะอาดหู เป็นสิ่งที่ควรจะทำเป็นประจำ

เรื่องแรกนี้ต้องทำความเข้าใจกันเล็กน้อย การทำความสะอาดหูนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี แต่แคะหูด้วยตัวเองต่างหาก ที่อาจจะเป็นอันตรายได้ ขี้หูนั้นจะเคลือบด้านในของหู และปกป้องหูจากเชื้อแบคทีเรียเชื้อรา และแมลงได้ แถมร่างกายของคนเรานั้นมีกลไกที่จะกำจัดขี้หูออกไป โดยอัตโนมัติอยู่แล้ว

แต่หากคุณทำความสะอาดหูด้วยตัวคุณเอง คุณอาจจะได้รับผลตรงข้าม เมื่อคุณทำการแคะหูคุณเองด้วยคอตตอนบัด ขนของคอตตอนบัดที่ตกค้างจะทำให้เกิดการผลิตขี้หูมากขึ้น สิ่งที่คุณควรทำคือการทำความสะอาดหูของคุณออกเบาๆ ด้วยผ้าเปียกหลังอาบน้ำก็เพียงพอแล้ว

อย่างไรก็ตามในบางกรณีร่างกายของคนเราอาจจะไม่สามารถกำจัดขี้หูออกไปได้หมด ในกรณีนั้นแนะนำให้ไปพบผู้เชียวชาญเฉพาะทางเลยจะดีกว่า

 

ให้ยืนห่างๆ ไมโครเวฟเวลาเครื่องกำลังทำงาน

เตาอบไมโครเวฟนั้น ไม่ได้เป็นอันตรายอย่างที่หลายคนคิด มันต่างจากรังสีเอกซ์ที่ใช้ในการเอ็กซเรย์มาก ไมโครเวฟไม่ได้ผลิตสารเคมีหรือรังสีที่เป็นไอออนไนซ์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อดีเอ็นเอหรือการกลายพันธุ์ของยีน

ในความเป็นจริงไมโครเวฟทำขึ้นเพื่อให้รังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผลิตได้ไม่หลุดออกมาข้างนอกอยู่แล้วด้วย ดังนั้นตราบใดที่คุณไม่กอดไมโครเวฟที่เปิดอยู่ การใช้ไมโครเวฟจะไม่มีความเสี่ยงใดๆ ต่อสุขภาพ

 

กดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จโดยไม่ปิดฝาชักโครก

ทุกคนรู้ดีว่าควรกดน้ำทันทีที่ทำธุระเสร็จ มันไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งสำคัญคือต้องทำอย่างถูกต้อง ถ้าฝาชักโครกน้ำทิ้งไว้ก่อนกดน้ำ อนุภาคเล็กๆ ของแบคทีเรียจะสามารถพ่นขึ้นจากการกดน้ำได้สูงถึง 2 เมตร ดังนั้นอย่าลืมปิดฝาชักโครกก่อนจะกดน้ำล่ะ

 

ล้างอาหารทุกชนิด

เราไม่จำเป็นต้องล้างอาหารทุกประเภท ตัวอย่างเช่นเนื้อแดงและเนื้อไก่นั้นไม่ควรจะล้างมากๆ มันไม่ได้กำจัดเชื้อแบคทีเรียเลย แต่ยังทำให้มันกระจายไปทั่วห้องครัว คุณสามารถอบ ต้ม หรือนำเนื้อผ่านความร้อนเพื่อให้แบคทีเรียตายได้ แต่แบคทีเรียที่แพร่ไปยังโต๊ะหรือที่อื่นๆ ในห้องครัว อาจจะเข้าไปในร่างกายของคุณได้

ส่วนอาหารที่เหลือ (เช่นผักหรือผลไม้) ควรล้างก่อนที่จะตัด

 

การแคะจมูกทำให้จมูกโล่ง

เมื่อคัดจมูกเราจะรู้สึกอึดอัดมาก จนเราพยายามที่จะทำอะไรให้หายใจได้ง่ายขึ้น แต่การแคะจมูกอาจทำให้แบคทีเรียภายนอกเข้าไปในจมูกได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อในรูจมูกหรือเป็นไซนัส

คุณควรทำความสะอาดจมูกของตัวเองโดยไม่นำอะไรเข้าจมูก คุณสามารถสั่งน้ำมูกอย่างระมัดระวัง หรือล้างออกด้วยน้ำ และเกลือได้ แต่ถ้าอยากจะเอามือเข้าจมูกให้ได้ ก็ขอให้แน่ใจว่ามือของคุณนั้นสะอาดก็แล้วกัน

 

หินปูนที่ติดที่ก๊อกน้ำนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในแง่ของสารเคมี หินปูนที่ติดที่ก๊อกน้ำเป็นเพียงตะกอนของแคลเซียม และแมกนีเซียมคาร์บอเนต ซึ่งสารเคมีพวกนี้มีอยู่มากในยาต่างๆ อยู่แล้ว เราจะใช้ยาพวกนี้เมื่อเราปวดท้อง หรือมีโรคอื่นๆ ที่หินปูนที่ติดที่ก๊อกน้ำมีความปลอดภัย เพราะคงไม่มีใครกินมันลงไปอย่างตั้งใจในปริมาณมาก

แต่ปริมาณหินปูนที่ติดที่ก๊อกน้ำ สามารถช่วยให้คุณเห็นว่ามีสารเคมีในน้ำของคุณมากได้เช่นกัน

 

แปรงฟันทันทีหลังอาหาร

แน่นอนทุกคนควรแปรงฟันทุกวัน แต่สิ่งสำคัญคือไม่ควรทำทันทีหลังจากรับประทานอาหาร คุณควรเว้นเวลาสัก 30-60 นาทีหลังอาหาร เพราะแม้สารเคลือบฟันเป็นส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกายมนุษย์ แต่ก็สามารถอ่อนลงได้ในสภาวะที่เป็นกรดเช่นหลังกินผลไม้ ถ้าคุณแปรงฟันหลังอาหารเลยคุณอาจทำให้เคลือบฟันเสียหายได้

ทันตแพทย์แนะนำให้ป้วนปากด้วยน้ำ หรือเคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อเพิ่มการผลิตน้ำลายหลังอาหาร ก่อนที่จะแปลงฟันเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก

 

การนั่งไขว่ขาจะทำให้หลอดเลือดขอด

เป็นเวลานานแล้ว ที่คนคิดว่าการนั่งไขว่ขาจะทำให้หลอดเลือดขอด แต่จากการศึกษาล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการนั่งไขว่ขาไม่ได้นำไปสู่เส้นเลือดขอดเลย แต่คุณก็ไม่ควรนั่งท่าเดิมนานๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าไหนอยู่ดี

 

การใช้คอมเป็นเวลานาน ทำให้สายตาแย่ลง

แน่นอนดวงตาของคุณจะเหนื่อยหลังจากทำงานที่เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน แต่การเหนื่อยไม่ได้เป็นเหตุผลที่ทำให้สายตาของคุณแย่ลง นักวิทยาศาสตร์นั้นระบุว่า “โรควิสัยทัศน์ทางคอมพิวเตอร์” จะประกอบด้วยอาหารตาแห้ง ปวดคอ และไหล่ เท่านั้น

อย่างไรก็ตามเพื่อหลีกเลี่ยงอาการดังกล่าวคุณควรจะ ใช้จอภาพที่มีระดับความสว่างที่เหมาะสม พัก และกะพริบตาบ่อยๆ

 

ตำแหน่งการจับพวงมาลัย

หนึ่งในสิ่งที่เราเรียนรู้จากในโรงเรียนสอนขับรถคือการวางมือที่ตำแหน่งเลข 10 และ 2 ของนาฬิกาในการจับพวงมาลัย เชื่อกันว่ามันจะสามารถช่วยให้คุณควบคุมรถได้ดีขึ้น ในกรณีที่ต้องจัดการกับอุปสรรคที่ไม่คาดคิด แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าตำแหน่งของมือควรอยู่ที่เลข 9 และ 3 ของนาฬิกา เพื่อให้สามารถหักพวงมาลัยได้แม้ใช้ความเร็วสูง นอกจากนี้ตำแหน่งนี้ช่วยให้มือของคุณอยู่ห่างจากถุงลมนิรภัยเพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บได้

 

ที่มา brightside

Comments

Leave a Reply