9 เรื่องราวสุดบ้าที่มี “เงิน” มาเกี่ยวข้อง ทำให้รู้ว่าเงินมีอิทธิพลกับคนมากขนาดไหน

คงไม่มีใครเถียงหรอกว่าปัจจุบันเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตจริงๆ แค่ก้าวเท้าออกจากบ้านก็มีเรื่องให้ต้องเสียเงินกันเสียทุกครั้งแล้ว ถ้าไม่มีเงินจะอยู่ยังไงล่ะ

จะไปใช้ชีวิตปลูกผักกินเองแบบชาวไร่ในสมัยก่อนก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่งอีก

แม้แต่ในสมัยก่อนที่คนไม่ต้องพึ่งพาเงินมากเหมือนในปัจจุบัน เงินก็มีส่วนทำให้คนทำเรื่องที่ปกติตัวเองคงไม่ทำถ้าไม่เพราะเงินจำนวนมากอยู่ด้วย ลองไปรับฟังกันดูนะว่ามันบ้าขนาดไหน

 

1. จ่ายค่าเช่าหวังฮุบอพาร์ตเม้นต์

 

เมื่อปี 1965 ทนาย Andre-Francois ทำสัญญาจะจ่ายเงินค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ให้คุณยาย Jeanne Calment วัย 90 ปีทุกเดือน โดยมีข้อแม้ว่าถ้าคุณยายตายไปแล้วจะต้องยกอพาร์ตเมนต์ให้กับเขา คงหวังจะได้อพาร์ตเมนต์ราคาถูกมาครอง เพราะคุณยายแก่แล้วน่าจะอยู่ได้ไม่นาน

แต่อาจจะเพราะเธอไม่อยากยกอพาร์ตเม้นต์ให้เขาง่ายๆ คุณยายก็ฮึดมาจากไหนไม่รู้ มีชีวิตอยู่ยาวนานจนทนายคนนั้นตายไปก่อนตัวเองเสียอีก แล้วในปีถัดมาคุณยายก็ตายไปด้วยอายุ 122 ปี

ทนายหนุ่มจึงได้จ่ายค่าอพาร์ทเมนต์นานกว่า 30 ปี ทั้งที่ตัวเขาไม่มีโอกาสได้เข้าไปอยู่เลย รวมแล้วเป็นเงินกว่า 280,000 ดอลลาร์สหรัฐในยุคปัจจุบัน (ประมาณ 9 ล้านบาท)

 

2. เก็บความตายของพ่อไว้เป็นความลับ หวังเอาเบี้ยคนชรา

 

เมื่อปี 2010 ทางการของกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นเดินทางไปที่บ้านของนาย Sogen Kato เพื่อยินดีกับเขาเนื่องในโอกาสอายุครบ 111 ปี ถือเป็นชายที่อายุเยอะที่สุดในเมือง ทว่าลูกสาววัย 81 ปีของเขาก็ไม่ยอมให้เข้าพบพ่อเลยแม้จะไปหาหลายครั้งแล้วก็ตาม

ทางการจึงแจ้งตำรวจเข้าไปตรวจสอบในบ้าน ก็เลยพบร่างของ Kato กลายเป็นมัมมี่นอนอยู่บนเตียง จึงทราบว่าเขาตายไปเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ลูกสาวไม่ยอมแจ้งเพราะจะเก็บเบี้ยคนชราของพ่อไว้ใช้ ซึ่งรวมตั้งแต่เขาตายจนถึงตอนพบศพแล้วมีมูลค่า 106,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.3 ล้านบาท) เลยทีเดียว

 

3. เบี้ยวเงินรางวัล

 

ในปี 1979 สถาบันวิจัยทางประวัติศาสตร์ (Institute for Historical Review) เสนอมอบเงินรางวัลจำนวน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.6 ล้านบาท) ให้กับใครก็ตามที่หาหลักฐานมายืนยันได้ว่าคนยิวถูกรมแก๊สในเมือง Auschwitz ประเทศเยอรมันจริงๆ

นาย Mel Mermelstein ผู้รอดชีวิตจากการรมแก๊สในครั้งนั้นจึงส่งหลักฐานไปให้ทางสถาบันในปี 1981 แต่ทางสถาบันกลับเบี้ยวเงินรางวัลแบบดื้อๆ ซะงั้น น่าจะเพราะไม่อยากเสียเงินนั่นแหละ แต่สุดท้ายทางสถาบันก็โดนฟ้องให้จ่ายเงินจำนวนนั้นอยู่ดี

 

4. ก่อสร้างไล่ที่

 

คุณลุง Herbert Sukenik อาศัยอยู่ในพาร์ตเมนต์เล็กๆ ในโรงแรม Mayflower ของเมืองนิวยอร์ก เมื่อปี 2004 มีบริษัทก่อสร้างต้องการซื้อที่ในแถบนั้น จึงไล่ซื้ออพาร์ตเมนต์รอบๆ ไปเสียหมด หนึ่งในนั้นขายอพาร์ตเมนต์ไปในราคาสูงถึง 650,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 20 ล้านบาท)

แต่มีเพียงคุณลุงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ยอมขายที่ให้ ทางบริษัทก็เลยกดดันคุณลุงด้วยการก่อสร้างข้างห้องเขาเลย เพื่อทำให้คุณลุงรำคาญแล้วยอมขายบ้านเอง แต่ทำยังไงคุณลุงก็ไม่ยอมขายบ้านสักที

ท้ายที่สุดบริษัทก่อสร้างต้องยอมจ่ายเงินซื้อที่ 17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 541 ล้านบาท) คุณลุงถึงจะยอมขายให้ แถมยังต้องยอมให้คุณลุงเช่าคอนโดราคา 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 63 ล้านบาท) เพียงเดือนละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 32 บาท) ตลอดชีวิตอีกต่างหาก

 

5. ไม่บอกสามีว่าถูกลอตเตอรี่ ตอนหย่าจะได้ไม่เสียเงิน

 

สาว Denise Rossi จากรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเคยถูกลอตเตอรี่มูลค่า 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 41 ล้านบาท) เมื่อปี 1996 แต่เธอไม่ยอมบอกสามีที่กำลังจะหย่ากันเนื่องจากไม่อยากให้เขาได้ส่วนแบ่ง

แต่สุดท้ายก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของศาลอยู่ดี แทนที่เธอจะได้แบ่งเงินครึ่งหนึ่งให้สามีตามกฎหมาย ศาลได้ลงโทษให้เธอยกเงินที่ถูกลอตเตอรี่ทั้งก้อนให้สามีไปหมดเลย โลภมากลาภหายแท้ๆ

 

6. สร้างตึกระฟ้าจิ๋ว

 

ย้อนกลับไปเมื่อปี 1919 นาย J.D. McMahon ชาวฟิลาเดเฟียหลอกนักลงทุนว่าเขาจะสร้างตึกสูง 480 ฟุต (146 เมตร) ในเมือง Wichita Falls รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัอเมริิกาให้กับพวกเขา แต่พอเอาเข้าจริงแล้วเขากลับสร้างตึกเพียง 480 นิ้ว (ประมาณ 12 เมตร) เท่านั้น

ซ้ำร้ายมันยังเป็นตึก 4 ชั้นที่ไม่มีบันไดขึ้นลงเลยด้วย มันจึงถูกขนานนามว่า ตึกระฟ้าที่เล็กที่สุดในโลก ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือหนุ่มได้เงินจากนักลงทุนไปเต็มๆ เลย เนื่องจากนักลงทุนไม่สามารถเอาผิดกับเขาได้ เพราะไม่ทันสังเกตเองว่าในแบบแปลนก่อสร้างเขาใช้หน่วยเป็นนิ้ว ไม่ใช่หน่วยฟุต

 

7. พ่อเลี้ยงเกาะลูกกิน

 

นาย Jackie Coogan เคยร่วมแสดงหนังเรื่อง The Kid ร่วมกับ Charlie Chaplin มาก่อน จากการแสดงนั้นทำให้เขาได้เงินกว่า 4 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 127 ล้านบาท)

ทว่าเมื่อเขาอายุ 21 กลับพบว่าแม่แท้ๆ และพ่อเลี้ยงของเขาเอาเงินเกือบทั้งหมดนั้นไปใช้เองเสียหมดเลย โดยทั้งคู่อ้างว่าเงินทั้งหมดที่ลูกหาได้ก่อนอายุ 21 ปีเป็นสิทธิของพ่อกับแม่

เรื่องราวในครั้งนี้จึงทำให้ Coogan เริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิของเด็กที่พวกเขาควรจะได้รับ ส่งผลให้นักแสดงเด็กในทุกวันนี้มีสิทธิในเงินที่หามาได้ 15 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าส่วนที่เหลือจะยังคงเป็นสิทธิของพ่อแม่อยู่ก็ตาม

 

8. ชดใช้เงินโทษฐานไม่ยอมมีเซ็กส์

 

ในปี 2011 มีหญิงสาวจากประเทศฝรั่งเศสฟ้องร้องอดีตสามีของตัวเอง เนื่องจากเขาไม่ยอมให้ความสุขทางเพศกับเธอเลยตลอดระยะเวลา 21 ปีที่อยู่ด้วยกันมา

ศาลตัดสินให้อดีตสามีคนนั้นชดใช้เงินกับหญิงสาวจำนวนทั้งสิ้น 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 470,000 บาท) โทษฐานบกพร่องในหน้าที่สามี พอลองคำนวณดูแล้วเซ็กส์ของเขามีมูลค่าปีละ 714 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 22,000 บาท) เลยทีเดียว

 

9. ช่วยซื้อลอตเตอรี่

 

ย้อนไปเมื่อปี 1984 ณ ร้าน Sal’s Pizzeria ในกรุงนิวยอร์ก นักสืบ Robert Cunnungham เสนอกับสาวเสิร์ฟ Phyllis Penzo ไว้ว่าครั้งนี้เขาจะไม่จ่ายทิปให้เธอ แต่ให้เธอช่วยเลือกเลขลอตเตอรี่ให้เขา

ถ้าเกิดว่าถูกรางวัลเขาจะแบ่งมันให้เธอครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าไม่ถูกรางวัลเธอก็จะไม่ได้ทั้งทิปและเงินรางวัลเลย สาวก็เล่นกับเขาด้วยแล้วเลือกเลขให้เขาไป

เมื่อลอตเตอรี่ประกาศผลในวันที่ 1 เมษายนปีนั้นสาวเสิร์ฟก็ได้รับข่าวดีจากนักสืบหนุ่มว่าเขาถูกเงินรางวัลจำนวน 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 190 ล้านบาท) เธอก็เลยได้เงินครึ่งหนึ่งไปใช้อย่างสบายใจเลย

 

ที่มา: Buzzfeed

Comments

Leave a Reply