ตำรวจจีนเริ่มใช้ ‘แว่นตาอัจริยะ’ สามารถระบุตัวตนประชาชน เพื่อเข้าถึงคนร้ายได้ง่ายขึ้น!!

ปัจจุบันเทคโนโลยีของมนุษย์เรานับว่าก้าวหน้ามาไกลมาเลยทีเดียว มีอุปกรณ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้มากมาย ซึ่งช่วยทำให้ชีวิตของมนุษย์เรานั้นสามารถดำเนินไปได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น

ในด้านของตำรวจเองก็ไม่แพ้กัน เพราะในยุคนี้มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสุดไฮเทค ที่ออกมาเพื่อช่วยให้จับผู้ร้ายได้ง่ายขึ้นมาก ลักษณะคล้ายกับที่เคยเห็นผ่านตาในภาพยนตร์ก็คงจะไม่ผิดนัก

 

 

และอุปกรณ์ที่ว่านี้ก็คือ แว่นตาไฮเทค Smartglasses โดยทางตำรวจขนส่งในเมืองเจิ้งโจวของประเทศจีน ได้ลองนำมาใส่แล้วไปประจำการที่สถานีรถไฟ ในช่วงวันตรุษจีนซึ่งเป็นช่วงที่เรียกได้ว่ามีผู้คนพลุกพล่านที่สุด

โดยเจ้าแว่น Smartglasses มีเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ที่ทำให้เจ้าหน้าที่ผู้สวมใส่นั้นสามารถตรวจจับและระบุตัวตนของผู้ต้องสงสัยได้อย่างรวดเร็ว

 

 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นายได้ทำการสวมแว่นตาดังกล่าว แล้วไปประจำที่ประตูทางออกด้านตะวันออกของสถานี เมื่อพบเจอผู้ต้องสงสัย กล้องที่ติดอยู่กับแว่นตาจะทำการเก็บภาพใบหน้าของผู้ต้องสงสัยเหล่านั้น เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่เก็บไว้ในสำนักงานใหญ่

จากนั้นระบบจะทำการแสดงข้อมูลที่สำคัญของผู้ต้องสงสัยเหล่านั้นขึ้นมา ประกอบไปด้วย ชื่อ สัญชาติ เพศ และที่อยู่ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งกลับมาปรากฏบนแว่นที่เจ้าหน้าที่สวมใส่อีกครั้ง

ทั้งนี้แว่นยังสามารถระบุได้ว่าผู้ต้องสงสัยคนดังกล่าวนั้นกำลังหนีคดีอยู่หรือไม่ อีกทั้งยังระบุโรงแรมหรือที่พักที่บุคคลนั้นๆ กำลังเข้าพัก รวมไปทั้งข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตของผู้ต้องสงสัยอีกด้วย

 

 

ในช่วงเทศกาลตรุษจีนนั้นคาดว่ามีประชาชนประมาณ 390 ล้านคน เดินทางโดยรถไฟในช่วงเวลา 40 วัน ถึงอย่างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเจิ้งโจวเอง ก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยได้ถึง 7 ราย

มีตั้งแต่คดีชนแล้วหนี ไปจนถึงการค้ามนุษย์ นอกจากนี้ยังมีอีก 26 รายที่ถูกจับกุม เนื่องจากใช้ข้อมูลระบุตัวตนที่เป็นของปลอม

 

 

เทคโนโลยีดังกล่าวที่สร้างขึ้นนั้นเป็นผลมาจากความต้องการของประเทศจีน ที่จะพัฒนาการตรวจตราด้วยระบบดิจิตอลโดยใช้ข้อมูลทางมิติชีวภาพ เช่น ภาพถ่าย สแกนม่านตา และลายนิ้วมือ เป็นต้น เพื่อให้ง่ายและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรในประเทศ

 

 

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าประเทศจีนนั้นได้ก้าวล้ำนำหน้าประเทศตะวันตกไปแล้ว ด้วยการพัฒนาระบบสแกนใบหน้าที่เข้ามาแทนวิธีเก่าซึ่งใช้แต่ภาพถ่าย ลายนิ้วมือ และข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ

ทางด้านหน่วยงานธนาคารต่างๆ ก็เริ่มมีการใช้เทคโนโลยีสแกนใบหน้า แทนการใช้บัตรเครดิตและเดบิต รวมไปถึงสายการบิน Chineses Airlines ก็จะเริ่มการใช้ระบบสแกนใบหน้า แทนการใช้ตั๋วขึ้นเครื่องภายในปี 2018 นี้

 

 

อย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องเทคโนโลยีสแกนใบหน้า จากองค์การสิทธิมนุษยชนและกลุ่มผู้สนับสนุนความเป็นปัจเจก ที่หวั่นเกรงว่าพวกเขาจะรู้สึกถูกแทรกแซงและถูกกดขี่อยู่ตลอดเวลา

 

 

ปัจจุบันนี้ได้มีการนำกล้องที่สามารถระบุใบหน้าของบุคคลได้ไปติดตั้งยังที่ต่างๆ ตามละแวกบ้านและที่ทำงาน ในพื้นที่ทางตะวันตกของประเทศจีน

William Nee นักวิจัยชาวจีนจากองค์การนิรโทษกรรมสากลกล่าวว่า ที่จริงแล้วเทคโนโลยีเหล่านี้ควรถูกใช้เพื่อดูแลความปลอดภัยของประชาชน

“มีหลักฐานบางส่วนบ่งบอกว่ากล้องสแกนใบหน้าเหล่านี้ ถูกเจ้าหน้าที่ใช้เพื่อผลประโยชน์ในการสร้างรัฐตำรวจที่สมบูรณ์แบบ”

ที่มา: theverge, dailymail

Comments

Leave a Reply