โปรเจกต์ที่รวบรวม ‘รอยแผลเป็น’ ของเหล่าสาวๆ กับเรื่องราวเบื้องหลังของพวกมัน

ว่ากันว่ายังมีรอยแผลเป็นที่ไม่มีวันจางหาย แม้แผลจะรักษาได้ด้วยการแพทย์ แม้ร่องรอยจะเลือนหายตามกาลเวลา รอยแผลเป็นเหล่านั้นก็ยังคงฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ เป็นเครื่องเตือนใจถึงอะไรที่พวกเขาได้ผ่านมา

พวกเขาต่อไปนี้คือกลุ่มผู้คนที่เปิดเผยบาดแผลของตัวเอง ไม่ใช่แค่เพราะภาพลักษณ์อันเลวร้ายของมัน แต่เพราะเบื้องหลังของมันต่างหากที่จะเล่าเรื่องราวสู่คนอื่นๆ ต่อไป

 

Maya

 

“เมื่อช่วงหลายเดือนก่อนเป็นช่วงที่ท้าทายมากสำหรับฉัน ผิวของฉันทรุดโทรมลงอย่างหนัก ตั้งแต่ตอนอายุได้ 18 เดือนที่ฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค Epidermolysis Bullosa จนถึงเมื่อต้นปีนี้ ฉันยังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้แม้จะมีผิวแบบนี้ อย่างน้อยมันก็ซ่อนและดูแลได้ง่าย แต่เมื่อเร็วๆ นี้อาการมันก็แย่ลงอย่างรวดเร็ว” เธอเล่า

“สิ่งที่ฉันทำได้ลดลงอย่างมากและการวิจัยยารักษาก็ขาดแคลนทุนอย่างหนักจนฉันไม่มีหวังที่จะได้รับการรักษา ที่ฉันออกมาวันนี้ก็หวังว่าเด็กที่เป็นโรคนี้ในอนาคตจะได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้”

 

Mercy

 

“ฉันได้แผลนี้มาจากการทารุณกรรมในครอบครัว ฉันถูกเผาเมื่อตอนอายุได้ 29 ปีและต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ทุกวันนี้มันเป็นสิ่งสำคัญอันเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปแล้ว เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเป็นฉัน และถ้าการเปิดเผยมันจะช่วยใครสักคนได้ ฉันก็พร้อมจะทำ”

 

Tracey

 

“ในปี 2012 หมอบอกฉันว่าฉันเป็นแค่ไข้หวัดทั่วๆ ไปแต่มันก็เลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ฉันได้รับยาแก้ไข้แต่นั่นก็ทำให้ฉันแย่ลงไปอีก ฉันโทรไป 999 และพวกพยาบาลก็มาดูอาการของฉัน พวกนั้นเอาแต่พูดว่าฉันไม่เป็นไรๆ และกลับไปฉันจึงขึ้นไปนอน และไม่ตื่นขึ้นมาอีก

ลูกสาวของฉันโทรตามรถพยาบาลอีกครั้ง เมื่อฉันตื่นขึ้นฉันจำใครไม่ได้เลย พวกเขาทำ  CT scan และบอกฉันว่าฉันหลับไปเป็นเดือนและไม่สามารถพูดได้ ฉันต้องอยู่โดยต่อท่ออาหารที่คอไปอีกสองเดือน” เธอเล่า 

“ฉันหัวใจวายหลังจากนั้น พวกแพทย์พบเนื้องอกในหัวใจของฉัน พวกเขาเปลี่ยนหัวใจฉันเป็นหัวใจเทียมมันมีเสียงเหมือนนาฬิกาไม่มีผิด โชคดีที่หลังจากนั้นฉันก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ”

 

Agnes

 

“ในปี 1997 ตอนอายุ 7 ขวบ ฉันโดนแก๊สระเบิดใส่ ฉันเข้ารับการผ่าศัลยกรรม 27 ครั้ง อย่างไรก็ตามฉันก็อยู่กับแผลเป็นนี้ได้สบายๆ มันสวยงามสำหรับฉัน และแม้ว่าใครจะว่าอย่างไร มันก็เป็นสิ่งสำคัญของฉัน”

 

Megan

 

“ตอนฉันอายุได้ 14 ฉันได้ช่วยม้าป่าตัวหนึ่งชื่อว่า Fly ฉันรักมันมาก แต่วันหนึ่งตอนที่ฉันให้อาหารมันอยู่ตามปกติ มันพยายามจะเตะม้าอีกตัวข้างหลังมัน แต่พลาดมาโดนที่หน้าด้านซ้ายของฉัน แผลที่ได้นั้นติดแน่นกับกระดูกแก้มของฉันมันเลยเห็นได้ชัดมาก

ถึงอย่างนั้นแผลเป็นจากวันนั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน และแม้ฉันจะรักษามันได้ฉันก็เลือกที่จะปล่อยมันเอาไว้แบบนั้น เพราะฉันคิดว่าความสวยไม่ใช่ของที่ควรจะปรุงแต่งขึ้นมา”

 

Bintu

 

“ฉันโดนน้ำร้อนลวกเมื่อตอนฉันอายุแค่ 11 เดือน ดังนั้นฉันจึงจำไม่ได้เลยว่าเคยมีชีวิตที่ไม่มีแผลเป็น ดังนั้นเวลามีคนตกใจในตัวฉันฉันจึงมักจะสงสัยว่าตัวฉันมีอะไรแปลกเหรอ ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่า ‘ฉันมีรอยแผลเป็นนี่นา’ อยู่บ่อยๆ “

 

Isabella

 

“ในวันนี้ฉันโกรธโลกทั้งใบ ฉันโกรธที่ผ่านไป 2 ปีกับอีก 2 วันแล้วแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าตัวตนของฉันไม่สมบูรณ์ ฉันถูกเฉือนเนื้อออกไป เย็บ และปะเข้าใหม่ แต่ทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่รู้สึกเติมเต็ม ฉันโกรธที่ทั้งความทรงจำและความฝันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นมันผสมปนเปไปกับปัจจุบัน เป็นเวลา 2 ปีกับอีก 2 วัน แล้ว และในวันนี้ฉันก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ก็เชื่อว่าสักวันฉันจะเข้าใจและยอมรับมันได้”

 

Chloe

 

“ฉันเริ่มทำร้ายตัวเองตอนอายุได้ 13 ปี และล้มลุกคลุกคลานอยู่อย่างนั้น การทำร้ายตัวเองนั้นมักจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละครั้ง สุดท้ายมันก็มากเกินกว่าที่คุณคิดว่าคุณจะทำ แผลของฉันหนักมากจนศัลยแพทย์ทำอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือรักมัน รักให้มากที่สุดจนกว่าเรื่องแย่ๆ ที่ทำให้ฉันทำร้ายตัวเองมันจางหายไป รอยแผลนี้เล่าเรื่องราวของฉันไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม”

 

Sam

 

“ฉันเล่นกับปืนพกในตอนเด็กและมันลั่นใส่ตัวเองจนฉันต้องนั่งรถเข็นทั้งชีวิต แต่ถ้าคิดว่าฉันจะโทษมันล่ะก็ คุณคิดผิดแล้ว รอยแผลของฉันทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้น ฉันอยากเป็นนักเทนนิสฉันเลยไปเป็นนักวีลแชร์เทนนิส ฉันอยากเป็นนางแบบ ฉันก็ไปเป็นนางแบบ ทุกสิ่งทุกอย่างคือตัวฉัน แน่นอนว่ารอยแผลเป็นก็ด้วย”

 

Zuzanna

 

“ฉันเกิดมาโดยมีแขนติดกับลำตัว ตอนอายุหนึ่งขวบฉันได้รับการผ่าตัดแขนขวา หนึ่งปีต่อมาคุณหมอก็ผ่าอีกข้าง หมอสองคนผ่าตัดสองแขนในสองปี แย่หน่อยที่หมอคนที่สองไม่รู้ว่ากระดูกแขนซ้ายของฉันไม่เหมือนกับข้างขวา พออายุได้ 15 ปี ฉันก็รู้สึกถึงความแตกต่างฉันจึงผ่าตัดอีกครั้ง โรคนี้ชื่อว่า Hemimelia และคนที่จะเป็นแบบนี้มีแค่ 1 ใน 100,000 เท่านั้น แม้ว่าแผลนี้จะเคยเป็นปัญหาอย่างมากกับฉัน แต่ทุกวันนี้ฉันคิดว่ามันก็คือส่วนหนึ่งของฉัน และฉันก็ไม่คิดจะซ่อนมันอีก เพราะอย่างน้อย รอยแผลนี้มันก็คือตัวจริงของฉัน”

 

ไม่ว่าคนเราจะเป็นอย่างไรหรือว่าผ่านอะไรมา ในท้ายที่สุดสักวันมันก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราอยู่ดี มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมรับมันได้หรือไม่ก็เท่านั้นเอง

 

ที่มา Boredpanda

Comments

Leave a Reply