เรื่องราวของผู้รอดชีวิตจากการถูก “สาดน้ำกรด” สะท้อนถึงความโหดร้ายในตัวมนุษย์

ความทรมานจากบาดแผลที่ถูกสาดด้วยน้ำกรด ไม่ได้ทิ้งไว้เพียงแค่แผลเป็นบนร่างกาย ที่สำคัญคือจิตใจที่จะต้องใช้ชีวิตต่อไปด้วยสภาพแบบนั้น ช่างภาพชาวเยอรมัน Ann-Christine Woehrl จึงเดินทางไปเอเชียและแอฟริกา เพื่อถ่ายภาพของหญิงสาวผู้รอดชีวิตจากสิ่งนั้น

โปรเจกต์นี้มีชื่อว่า IN / VISIBLE ซึ่งจัดขึ้นในนามขององค์กรการกุศล ASTi คอยช่วยเหลือเหยื่อจากสารเคมีชนิดนี้ทั่วโลก

ในอูกันด้า กัมพูชา ปากีสถาน เนปาล อินเดีย และบังกลาเทศ คือสถานที่เธอเข้ามาถ่าย เพราะประเทศเหล่านี้เกิดเหตุการณ์ถูกทำร้ายประเภทนี้เยอะมาก เหยื่อมากมายต้องเสียโฉม ตัดขาดการเข้าสังคม บางคนถึงกับยอมรับว่าต้องการที่จะฆ่าตัวตายไปเลยเสียด้วยซ้ำ

ภาพที่ไม่ได้แสดงให้เห็นเพียงรูปลักษณ์ของพวกเธอ แต่สื่อให้เห็นความรู้สึกภายในลึกๆ และเหตุการณ์อันเลวร้ายที่ต้องเจอมา มาร่วมรับรู้ส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านั้นกัน

 

Sokneang ชาวกัมพูชา

 

เธอถูกทำร้ายเมื่อปี 2005 จากหญิงสาวที่อิจฉาในความสัมพันธ์ของเธอและสามี ขณะที่เธอนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน ก็ต้องพบกับอาการแสบร้อน ไหม้ใบหน้าและร่างกายด้านซ้ายของเธอ

 

Makima สาวชาวอินเดีย

 

หนุ่มข้างบ้านต้องการแต่งงานกับเธอ แต่เธอปฏิเสธไป ทำให้ขณะที่เธอหลับอยู่ในคืนหนึ่ง แม่ของฝ่ายชายเอาน้ำกรดมาเทไปทั่วหน้า

ผู้กระทำผิดเพียงแค่จ่ายค่าทำขวัญให้กับเธอ และรอดจากการถูกจับกุมไปได้ เรื่องนี้เองที่ทำให้เธอต้องการเป็นตำรวจ ต่อสู้เพื่อความถูกต้องให้มากกว่านี้

 

Chantheoun ชาวกัมพูชา

 

มีหญิงสาวและญาติๆ ของเธอขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านหน้าเธอไป พร้อมกับสาดน้ำกรดจำนวน 2 ลิตรใส่เธอ ชายหนุ่มที่เธอกำลังมีความสัมพันธ์อยู่ด้วยมาเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาล และช่วยเรื่องการเงินให้กับแม่ของเธอทุกครั้งที่มาหา

ทำอยู่อ่างนั้นในช่วงสองสามเดือนแรก ก่อนที่จะหายไปเพราะกลัวใบหน้าของภรรยา เหตุการณ์นี้ทำร้ายจิตใจของเธอเป็นอย่างมาก

 

Sidra ชาวปากีสถาน

 

เธอไปอยู่บ้านเพื่อนในคืนหนึ่ง ปี 2011 และต้องตื่นขึ้นเมื่อพี่ของเพื่อนพยายามจะข่มขืนเธอ แม่ของชายคนนั้นกลัวว่าเธอจะสร้างเรื่องอื้อฉาว จึงบอกให้ลูกเอาน้ำกรดไปสาดใส่หญิงสาวเคราะห์ร้ายวัย 15 ปีคนนี้

จากการถูกโจมตีในตอนนั้น ทำให้การมองเห็นของเธอเกือบที่จะเรียกว่าบอดได้เลย ผู้ก่อเหตุติดคุกไป 25 ปีขณะที่คนเป็นแม่ผู้สั่งให้ทำ ต้องใช้ชีวิตในคุกไป 3 ปี

 

Flavia ชาวอูกันด้า

 

Flavia (คนกลาง) และเพื่อนๆ

 

เธอถูกทำร้ายตอนเรียนมหาลัยในปี 2009 วันหนึ่งเธอกลับบ้านมาเป็นคนแรก รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยูด้านหลัง เมื่อหันไปดูก็ถูกสาดด้วยน้ำกรดและคนคนนั้นก็หนีไป เธอรู้สึกว่าผิวหนังถูกกัดกินและเจ็บเป็นอย่างมาก

ในตอนนั้นเธอวิ่งไปรอบบ้านขณะที่ร้องไห้ไปด้วย ถอดเสื้อผ้าออก และล้มลงไป ก่อนที่จะรอดมาได้ด้วยความพยายามวิ่งไปร้านค้าใกล้ๆ ผู้คนต่างมามุงดูเต็มไปหมด จนกระทั่งพ่อแม่ของเพื่อนเธอมาเห็นและพาไปโรงพยาบาล

เธอให้สัมภาษณ์ว่า “รู้สึกโกรธ เศร้า และหดหู่ในเวลาเดียวกัน ฉันร้องไห้อยู่ตลอดเวลา คิดถึงใบหน้าที่ฉันเคยมี ไม่อยากยอมรับกับสิ่งที่เป็นตอนนี้และตลอดไปชั่วชีวิตของฉันเลย”

Farida ชาวบังกลาเทศ

 

Farida และหลานสาว

 

เธอต้องการเลิกกับสามีที่ติดยาและการพนันจนเป็นนิสัย ทำให้เขาเอาน้ำกรดสาดใส่ เธอกรีดร้องออกมาดังมากจนเพื่อนบ้านพังประตูเข้ามา ความมืดและรอยดำบนเตียงนอน ทำให้คนที่มาช่วยคิดว่าเธอถูกสามีตัดหัวแล้ว ทว่าลูกชายวัย 5 ขวบของเธอก็บอกกับชาวบ้านว่าเธอนอนสลบอยู่บนพื้น

สามีถูกจำคุก 12 ปี และเมื่อเขาออกมาก็พยายามที่จะทำร้ายเธออีก โชคดีที่เพื่อนบ้านของเธอช่วยกันขับไล่เขาออกไป ทำให้ไม่ได้เจอกันอีกเลย

 

Christine สาวชาวอูกันด้า

 

เมื่อสามปีก่อนตอนเธออายุได้ 16 ปี ถูกแฟนของแฟนเก่าเธอทำร้ายด้วยน้ำกรด ผู้กระทำผิดจึงต้องติดคุกไป 8 ปี ส่วนเธอตอนนี้มีแฟนหนุ่มอยู่เคียงข้างและมีลูกสาวด้วยกัน แต่เธอก็ยังคงไม่กล้าออกไปไหน เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านแทบจะตลอดเวลา

 

Nusrat ชาวปากีสถาน

 

ถูกสามีและพี่เขยทำร้ายเมื่อปี 2009 เธอเล่าว่า “ฉันกรีดร้องดังมากจนผู้คนมากันเต็ม พี่เขยบอกกับคนอื่นๆ ว่าฉันสาดน้ำกรดใส่หน้าตัวเอง เพื่อนบ้านได้พาฉันไปที่โรงพยาบาล และฉันก็ได้เห็นรูปใบหน้าของตัวเอง มันแย่เอามากๆ”

 

 

นี่เป็นเพียงส่วนน้อยที่ต้องถูกทำร้ายด้วยน้ำกรด จึงเป็นเหตุผลให้องค์กรการกุศล ASTi พยายามที่จะช่วยเหลือเหยื่อกว่าพันคนทั่วโลก กระตุ้นให้ทุกคนตื่นตัวกับเรื่องเหล่านี้

เรื่องราวและรูปภาพของเหยื่อกว่า 60 คนจะถูกจัดแสดงใน The Leyden Gallery วันที่ 13 ถึง 16 กันยายน ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่ต้องถูกกระตุ้นคือ เหล่าผู้ที่หวังจะกระทำเรื่องดังกล่าวกับคนอื่น ว่าผลลัพธ์ที่ต้องเจอมันแย่มากเพียงใด ความรุนแรงไม่ใช่ทางออก แต่เป็นการเริ่มต้นของความเลวร้ายที่คนอื่นต้องเจอ

 

ที่มา: dailymail

Comments

Leave a Reply