แม่ใจสลาย บรรจงจูบลาลูกน้อยเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เธอจะล่วงลับไปด้วยโรคมะเร็งสมอง

โรคมะเร็งมักเป็นมัจจุราชที่พรากคนที่รักไปจากคุณเสมอ แม้คุณจะพยายามเอาชนะมันอย่างยากลำบากแค่ไหนก็ตาม… เหมือนกับ Emma Giles ที่บรรจงจูบหัวของลูกสาวเพื่อบอกลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย

ภาพสุดท้ายของแม่ลูกคู่นี้ถูกถ่ายเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งถ่ายก่อนที่ Eva เด็กหญิงวัย 5 ขวบ จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในเด็กชนิดที่หายาก

 

 

ในภาพจะเห็นเด็กน้อยผู้กล้าหาญอยู่ในสภาพที่มีสายต่างๆ เต็มตัวไปหมด ดวงตาของได้ปิดลง โดยมีคุณแม่บรรจงจูบศีรษะพร้อมน้ำตาที่ไหลพรากด้วยความเสียใจ

นี่คงเป็นความรู้สึกที่พ่อแม่หลายๆ คงจะเจ้าใจดี…

Eva เป็นหนึ่งในเด็ก 40 คนต่อปีที่ป่วยเป็นโรค Diffuse Intrinsic Pontine Glioma (DIPG) ซึ่งเป็นมะเร็งในสมองที่ไม่สามารถรักษาได้

เด็กหลายคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ร่างกายจะไม่สามารถขยับได้ จนกลายเป็นอัมพาต ในขณะที่หลายคนเสียชีวิตภายในหนึ่งปีหลังการวินิจฉัย

 

 

ตอนนี้เป็นเวลากว่า 4 เดือนแล้ว ที่ Eva จากไป แต่ถึงอย่างนั้น Emma ผู้เป็นแม่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ปกครองที่บริจาคเงินกับทีมวิจัยเพื่อที่จะหาทางรักษาโรค DIPG เพื่อเธอไม่อยากให้พ่อแม่คนอื่นๆ ต้องมาเสียใจเหมือนกับเธอและครอบครัว

นอกจากนี้คุณแม่ยังได้แบ่งปันเรื่องราวของลูกสาวผู้กล้าหาญ ที่สู้กับมะเร็งร้ายจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจ…

Eva จาก Herne Bay ใน Kent เสียชีิวิตเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2017 เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค DIPG เมื่อ 12 เดือนก่อน

Emma บอกว่า “Eva เป็นเด็กที่่ร่าเริง สวย ตลก รักสนุก และสามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้ดี และใครๆ ก็รักเธอเพราะความไร้เดียงสาที่น่ารักนี่แหละ”

 

 

ก่อนที่จะรู้ว่าเป็นโรค DIPG เด็กหญิงมีความทรมานที่พ่อแม่ไม่ทราบสาเหตุ และเป็นอยู่อย่างนั้นถึง 1 ปี เธอมักจะกรีดร้องออกมาและดูกระวนกระวายเสมอ

นอกจากนี้เธอยังมีปัญหากับการขึ้นลงบันได จนเคยตกบันไดในโรงเรียนครั้งหนึ่ง กระทั่งเดือนมีนาคมเธอก็เริ่มสูญเสียการได้ยิน

หลายสัปดาห์ต่อมา แก้มข้างหนึ่งเริ่มยุบลงเวลาเธอหัวเราะหรือร้องไห้ การเดินของเธอเริ่มจะมีปัญหา เธอมักจะเดินเซจนต้องคอยจับกำแพงเพื่อประคองตัวเสมอ

อาการของเด็กเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ จากที่เดินเซ ก็กลายเป็นล้มลงไปสองสามครั้งต่อวัน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือหัวข้างหนึ่งของเธอเริ่มเอียงไปด้านข้าง

ในที่สุดแม่ก็พาลูกสาวไปหาหมอ พวกเขาไปหาหมอหลายคน หลายโรงพยาบาล และทำการตรวจหลายครั้ง แต่ทุกคนก็วินิจฉัยตรงกันหมดว่า Eva ป่วยด้วยโรคร้าย DIPG

 

 

 

 

โรคร้ายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง คุณแม่จึงพาลูกสาวไปรักษาฉุกเฉิน จากการตรวจเบื้องต้นพบว่ามีขี้หูอุดตันอยู่ข้างใน ซึ่งต้องใช้น้ำมันมะกอกหยอดลงไป เพื่อง่ายต่อการเอาออก

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยให้อาการของเด็กหญิงดีขึ้นเลย ตรงข้ามมันได้ร้ายแรงลงอย่างต่อเนื่อง แพทย์เจ้าของไข้จึงให้คุณแม่พาเธอไปที่ A&E

Eva ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยฉุกเฉิน และได้รับการสแกนด้วย MRI และเมื่อผลการแสกนออกมา คุณแม่ก็รู้ได้ทันทีว่าเธออยู่ในช่วงที่ต้องทำใจเลย

 

 

 

แม่บอกว่า “คุณหมอได้พาเราไปนั่งในห้องประชุมเล็กๆ ตรงกลางมีทิชชู่เตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อย จากนั้นหมอก็เริ่มบรรยายอาการของ Eva”

“ฉันรู้สึกชาไปทั้งตัว จำได้แค่ว่า ‘แผลในสมองส่วนที่มีปัญหา’ ฉันนั่งอยู่อย่างนั้นเหมือนคนไร้ความรู้สึก ทำอะไรไม่ได้ อยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก” แม่บอก

ส่วนทางคุณพ่อนั้นร้องไห้ออกมาอย่างหนัก และไม่สามารถควบคุมมันได้ เช่นเดียวกับคุณหมอและพยาบาลในห้องนั้นที่ร้องไห้ไปพร้อมทั้งคู่

จากผลการแสกนพบว่า เด็กหญิงมีเนื้องอกในสมอง ที่อยู่ในขั้นร้ายแรงมาก ที่แย่ที่สุดคือมันเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่สามารถรักษาได้

 

 

 

พวกเขาบอกว่าเนื้องอกจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายในเวลาไม่ถึง 1 ปี หลังจากนั้นเด็กหญิงก็จะเสียชีิวิตทันที เพราะแม้จะรักษายังไง โอกาสรอดก็ 0% อยู่ดี…

ในช่วงที่ทำเคมีบำบัด Eva แทบจะไม่กิน ไม่พูด หรือไม่เดินเลย เธอกลายเป็นเด็กที่มีแต่ความเศร้าหมอง และไม่เหลือความสนใสในตัวเลย

พ่อแม่พยายามค้นคว้างานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งมีแต่งานที่อยู่ในขั้นตอนการทดลอง แต่พ่อแม่ยินดีจะเสี่ยงและยอมจ่ายไม่อั้นเพื่อต่อชีวิตให้ลูก

แต่สุดท้ายการทดลองก็ไม่ได้ผล ทำให้อาการของเด็กน้อยทรุดลงอย่างรุนแรง…

 

 

 

ณ ตอนนี้ สิ่งที่เด็กหญิงต้องการคือการกลับไปอยู่ที่บ้าน คุณแม่จึงได้ปรึกษาคุณหมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งก็ได้รับการอนุญาต เนื่องจากการอยู่โรงพยาบาลหรือบ้านนั้นผลไม่ได้ต่างกันเลย ดังนั้นการให้เธอมีความสุขในช่วงสุดท้ายของชีวิตน่าจะเป็นส่ิ่ิงที่ดีกว่า

เมื่อพา Eva กลับไปอยู่ที่บ้าน ภาระอันหนักอึ้งของพ่อแม่อีกอย่างหนึ่งคือ พวกเขาไม่รู้จะบอกกับพี่น้องอีกสองคนเธอยังไงดี

แต่ในที่สุดพ่อก็รวบรวมความกล้า เดินไปหาลูกๆ ที่กำลังเล่นอยู่ในสวนกับปู่และย่า พ่อกลั้นน้ำตาแล้วบอกพวกเขา “Eva กำลังจะจากเราไปแล้วนะ” จากนั้นน้ำตาของเขาก็พรั่งพรูออกมาอย่างหยุดไม่ได้

 

 

หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น Euan วัย 8 ขวบ ถึงกับกรีดร้องออมา และร้องไห้ด้วยความเสียใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็สงบลงเพราะไม่อยากทำให้พ่อเสียใจไปมากกว่านี้

ในวันที่ Eva ทุกคนมายืนล้อมเธอ โดยไม่มีเสียพูดใดๆ ในห้องมีแต่ความเงียบ พยายามกลั้นน้ำตา ทั้งที่ในใจของทุกคนนั้นกำลังปวดร้าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

และแล้วเด็กหญิงก็ล่วงลับไปอย่างสงบภายในบ้านของเธอ…

ทั้งนี้พ่อแม่ของ Eva ได้ออกมาเตือนพ่อแม่คนอื่นๆ ให้ตระหนักถึงโรคร้ายนี้ โดยให้คอยสังเกตอาการลูกๆ ตามที่บอกไป หากพบสิ่งผิดปกติควรไปพบแพทย์ทันมี แม้มันจะรักษาไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำลูกอยู่กับคุณได้นานขึ้น

 

ที่มา mirror

Comments

Leave a Reply