หากว่าการสอบเข้า Harvard มันยากแล้ว… ขอบอกเลยว่า 10 เรื่องต่อไปนี้ยากยิ่งกว่าซะอีก!!

มหาวิทยาลัย Harvard University ถือเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก จึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้คนมากมายจากทั่วโลกต่างก็อยากเข้ามาสมัครเรียนที่นี่กันทั้งนั้น ในแต่ละปีมียอดตัวเลขผู้สมัครสูงถึง 34,000 คนเลยทีเดียว!!

 

 

แต่ในจำนวนผู้สมัครที่มากมายขนาดนี้จะมีผู้ผ่านการคัดเลือกเข้าเรียนเพียง 5.9% หรือถ้าคิดเป็นจำนวนคนก็ประมาณ 1,700 คนเท่านั้น แน่นอนว่าอีก 32,000 กว่าคนที่เหลือก็ต้องผิดหวังและกลับบ้านไปทั้งหมด

แหม่ ฟังดูแล้วเพื่อนๆ อาจจะคิดว่าการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Harvard เป็นอะไรที่หินแบบสุดๆ แล้วใช่มั้ยล่ะ?

แต่ขอบอกเลยว่านายคิดผิด!! เพราะยังมีเรื่องที่ยากยิ่งกว่านี้ซะอีก ถ้าไม่เชื่อล่ะก็ลองตามไปชมพร้อมๆ กันที่ข้างล่างได้เลย…กับ 10 เรื่องที่ยากยิ่งกว่าการสมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Harvard

 

1. การสมัครเข้าทำงานในบริษัทกองทุนบริหารความเสี่ยงขนาดยักษ์อย่าง Citadel LLC

 

การหางานเกี่ยวกับการเงินใน Wall Street ว่ายากแล้ว การเข้าทำงานในบริษัท Citadel ก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลย

แต่ล่าสุดผู้ก่อตั้งและ CEO Ken Griffin ที่เป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัย Harvard ก็ได้มีการเปรยๆ ออกมาถึงแผนการในอนาคตของ Citadel ว่าเขาต้องการที่จะเปิดรับสมัครและสัมภาษณ์คนมากกว่า 10,000 คนเพื่อหาคนเข้ามาทำงานในบริษัทเป็นจำนวน 300 อัตรา คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วก็แค่ 3% เท่านั้นเองนะเนี่ย

 

2. การที่โพสต์ของเราติด 1 ในท็อป 50 บนหน้านิวส์ฟีดของเพื่อนใน Facebook

 

โดยปกติแล้ว Facebook จะทำการประมวลหน้านิวส์ฟีดของเราจากการคัดเลือกโพสต์ต่างๆ มากกว่า 1,500 โพสต์

โดยใช้อัลกอริทึ่มประมวลผลจากความนิยม และความเกี่ยวข้องกับโพสต์ต่างๆ พร้อมกับปัจจัยอื่นๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะหยิบอะไรมาให้เราดูที่หน้านิวส์ฟีด

และการที่โพสต์ของเราจะไปโผล่ในท็อป 50 บนหน้านิวส์ฟีดของใครบางคนจะมีโอกาสเกิดขึ้นเพียง 3.3% เท่านั้น และยิ่งถ้าโพสต์ของเราเป็นรูปภาพก็จะเพิ่มโอกาสมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

3. การสมัครงานที่ Walmart

 

ก่อนที่จะอยู่ในช่วงขาลงต้องขอบอกเลยว่าห้าง Walmart เป็นหนึ่งในบริษัทที่ผู้คนให้ความสนใจอยากเข้าทำงานมากที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียวล่ะ

มีคนสัมครงานเข้ามากว่า 23,000 คน เฉพาะที่สาขา Washington D.C. ในปี 2013 และรับเข้าทำงานเพียง 600 คนเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ราวๆ 2.6% เอ๊งงง

 

4. ความฝันอเมริกัน (The American Dream)

 

‘ความฝันอเมริกัน’ อาจนิยามได้ว่าเป็น ‘ความเท่าเทียมทางโอกาสและเสรีภาพที่เอื้อให้เหล่าพลเมืองบรรลุถึงเป้าหมายในชีวิตด้วยการทำงานหนักและด้วยความมุ่งมั่น’ แต่ความหมายในปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไปตามเวลาของประวัติศาสตร์

กลายเป็นว่าผู้คนที่เข้ามาอยู่ในอเมริกานั้นมุ่งหวังไปที่ความมั่งคั่งแทน และจากการสำรวจข้อมูลจากมหาวิทยาลัย Harvard และ มหาวิทยาลัย Berkeley ก็พบว่ามีผู้คนที่ประความสำเร็จและมั่งคั่งจริงๆ ตามหลักของ ‘ความฝันอเมริกัน’ ได้สำเร็จนั้นมีไม่ถึง 5% ซะด้วยซ้ำ

 

5. การสมัครงานที่บริษัท Goldman Sachs

 

หนึ่งในสถาบันการเงินที่มั่นคงมากที่สุดในโลก ทำให้ไม่ว่าใครต่างก็อยากเข้าทำงาน ซึ่งในปี 2015 มีผู้คนยื่นใบสมัครเข้าทำงานกับ Goldman Sachs มากกว่า 313,000 คน แต่พวกเขารับเพียง 9,700 ตำแหน่งเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ 3% เท่านั้นเองนะ

 

6. การสมัครเข้าทำงานในหน่วยอารักขาประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา (The Secret Service)

 

หน่วยอารักขาประธานาธิบดีนั้นเป็นงานที่มีความรับผิดชอบสูง เพราะต้องคอยรักษาความปลอดภัยให้กับท่านประธานาธิบดีและครอบครัวตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ เลยทีเดียว

นอกจากครอบครัวของท่านประธานาธิบดีแล้ว บุคคลสำคัญคนอื่นๆ อย่างเช่น ท่านรองประธานาธิบดีและครอบครัวของพวกเขา ก็ต้องได้รับการปกป้องตลอด 24 ชั่วโมงด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลในปี 2015 พบว่ามีคนสมัครเข้ามาทำงานในหน่วย Secret Service มากถึง 27,000 แต่มีผู้ที่ผ่านการคัดเลือกราวๆ 1% หรือราวๆ 270 คนเท่านั้น!!

 

7. สมัครเข้าเรียนในโรงเรียนไฮสคูลชื่อดังในนิวยอร์ก

 

ในรัฐ New York นั้นต้องขอบอกเลยว่ามีโรงเรียนไฮสคูลชื่อดังตั้งอยู่มากมาย และโรงเรียนเหล่านั้นก็มีนักเรียนสมัครเข้าเรียนมากมาย ซึ่งจำนวนรับก็น๊อยยน้อย มีเปอร์เซ็นต์เข้ายากยิ่งกว่า Harvard ซะอีก!!

อย่างเช่นโรงเรียน Brooklyn Latin School ที่เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมีมีนักเรียนส่งใบสมัครเข้ามาถึง 16,962 คน แต่รับแค่เพียง 2.4% ของทั้งหมดเท่านั้น

 

8. การได้รับ Green Card

 

บัตรประจำตัวที่ทางรัฐบาลของอเมริกาออกให้สำหรับบุคคลที่ได้รับการอนุญาตให้เข้ามาอยู่อาศัย ทำงานอย่างถาวร รวมถึงเดินทางเข้าออกประเทศสหรัฐอเมริกาได้โดยที่ไม่ต้องขอวีซ่า

ในแต่ละปีมีผู้ยื่นเรื่องของ Green Card มากถึง 15 ล้านคนแต่มีเพียงประมาณ 50,000 คนเท่านั้นที่ได้รับไป หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ราวๆ 0.3% เท่านั้น

 

9. การเข้าเรียนในสถาบันการจัดการ Indian Institute of Management

 

ขณะที่ Harvard รับนักศึกษาเป็นจำนวน 5.2% จากทั้งหมด แต่ที่สถาบันการจัดการ Indian Institute of Management ที่ตั้งอยู่ในเมือง Ahmedabad กลับรับนักศึกษาเพียงไม่ถึง 1% จากการสมัครทั้งหมดกว่า 173,866 ราย

 

10. การสมัครเป็นลูกเรือของสายการบิน Delta

 

คุณมีโอกาสน้อยกว่า 1% ที่จะได้เป็นลูกเรือของสายการบิน Delta จากข้อมูลในปี 2013 พบว่ามีคนสมัครเข้ามาเป็นลูกเรือมากกว่า 44,000 คน ขณะที่ประกาศรับเพียงแค่ 400 ตำแหน่งเท่านั้น!!

 

แหม่…ต้องขอบอกเลยพอได้เห็นตัวเลขที่เป็นเปอร์เซ็นต์ขึ้นมาแล้วก็พบว่าอะไรมันจะยากซะขนาดนั้น แต่เชื่อเลยว่ายิ่งยากมันก็ยิ่งท้าทาย

เพราะแต่ละที่นั้นก็เป็นสถานที่ทำงานหรือมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทั้งนั้นเลย หากใครได้เข้าไปทำงานหรือได้เข้าไปเรียนก็ย่อมเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในชีวิตเลยล่ะ

แต่กว่าจะไปเผชิญกับความยากทั้งหลายแหล่เหล่านี้ เราก็ต้องผ่านการสอบ SAT ให้ได้ก่อน…หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า SAT คืออะไร เดี๋ยว #เหมียวหง่าว จะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักพร้อมๆ กันเลย

SAT มีชื่อแบบเต็มๆ ว่า Scholastic Aptitude Test และ Scholastic Assessment Test เป็นการสอบมาตรฐานเพื่อวัดความรู้ความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายสำหรับการรับบุคคลเข้าศึกษาของมหาวิทยาลัยในอเมริกา ที่จัดโดยหน่วยงานของสหรัฐอเมริกาชื่อ College Board

ซึ่งสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ทั้งวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย นั้นจะพิจารณาผลการสอบ SAT ในการรับเข้าศึกษาต่อ นอกจากนี้ยีงอาจใช้ผลสอบ SAT เพื่อพิจารณาสิทธิ์ในการขอทุนการศึกษาด้วย

ข้อมูลจากเว็บไซต์ Chulatutor.com ได้อธิบายว่าการสอบนั้นจะแบ่งเป็น 2 สิ่งที่ต้องพิชิตให้ได้ อย่างแรกก็คือเรื่องของคณิตศาสตร์ และอย่างที่สองก็คือภาษาอังกฤษ ซึ่งจะเน้นไปในเชิงวิเคราะห์

 

 

ฟังแล้วอาจจะดูยาก ดังนั้นลองไปดูข้อมูลผ่านคอร์สของจุฬาติวเตอร์ที่ได้เรียบเรียงหลักสูตรแบบเป็นขั้นเป็นตอนโดยพี่เปิ้ล ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งจุฬาติวเตอร์แห่งนี้เอง สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ Chulatutor.com/sat หรือเฟซบุ๊ก Chulatutorbyple

 

ที่มา : businessinsider

Comments

Leave a Reply