ในประวัติศาสตร์ของอเมริกา มีอยู่ช่วงหนึ่งที่อเมริกาได้ใช้แรงงานทาสเป็นแรงงานหลักในการทำอุสาหกรรมแถบรัฐตอนใต้ โดยทาสส่วนใหญ่นั้นจะถูกส่งมาจากแอฟริกา โดยที่พวกเขาไม่สนใจว่าคนนั้นจะเป็นใครมาก่อน ขอแค่เป็นคนดำก็ใช้เป็นแรงงานทาสซื้อขายและใช้ทำงานกันได้แล้ว
Abdulrahman Ibrahim Ibn Sori หนุ่มผู้มีชะตาพลิกผันคนนี้ เกิดในเมือง Timbo ในแถบแอฟริกาตะวันตกซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศกินี โดยที่บิดาของเขาเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยได้ตัดสินใจส่งเขาไปเรียนทีมหาวิทยาลัย Sankore เมือง Timbuktu ประเทศมาลีในปี ค.ศ.1771
Ibrahim ศึกษากฎหมายและปรัชญาและเมื่อจบการศึกษาเขากลับไปที่ Futa Jalion เพื่อเข้าร่วมเพื่อช่วยเหลือการทำงานของพ่อเขา โดยทำหน้าที่ดูแลกองทหารกองหนึ่ง
ภาพวาดแสดงใบหน้าของนาย Abdulrahman Ibrahim
ประมาณปี ค.ศ. 1788 เมื่อเขาอายุประมาณ 26 ปี Ibrahim นำกองทหารของบิดาคนหนึ่งเข้าร่วมในสนามรบ แต่น่าเสียดายที่เขาสูญเสียการต่อสู้และถูกจับเข้าคุกโดยชนเผ่าที่เป็นคู่ต่อสู้อย่าง Hebohs
หลังจากนั้นเขาก็ถูกขายให้กับพ่อค้าทาสต่าง ๆ จนกระทั่งมาจบลงที่สหรัฐอเมริกาในปี 1788 เขาถูกประมูลไปโดยพันเอก Thomas Foster และกลายเป็นคนเก็บใยฝ้ายในไร่นาในเมืองมิสซิสซิปปี
เขาถูกประมูลเพื่อเป็นทาสใช้แรงงานในไร่ฝ้าย
เขาต้องใช้ชีวิตในไร่ฝ้ายของ Foster และทำงานอย่างหนักเช่นเดียวกับทาสคนอื่น แต่ไม่นานเขาได้พบกับด๊อกเตอร์ John Cox ซึ่งถือเป็นโชคดีมาก เพราะครั้งหนึ่งครอบครัวของ Ibrahim เคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้
John เล่าเรื่องนี้ให้กับเจ้าของไร่ฟัง และขอให้เขาช่วยเจ้าชายเพื่อให้เขาได้กลับบ้านเกิดของเขา แต่ Foster กลับปฏิเสธอย่างไม่ใยดี เพราะ Ibrahim นั้นเป็นทาสที่ฉลาดและทำงานดี
ในปี 1826 Ibrahim ตัดสินใจที่จะเขียนจดหมายถึงประธานาธิบดี เลขานุการของสหรัฐอเมริกา และสุลต่านแห่งโมร็อกโก เขาได้คัดลอกคำพูดของจักรพรรดิแห่งโมร็อกโกขอให้บังคับใช้สิทธิของตนตามข้อ 2, 6, 16 และ 20 ของสนธิสัญญามิตรภาพระหว่างสหรัฐอเมริกาและโมร็อกโก ซึ่งลงนามในปี 1776
หลังจากที่สุลต่านแห่งโมร็อกโกอ่านจดหมายเขาได้ขอให้ประธานาธิบดีอดัมส์ปล่อย Ibrahim จากการเป็นทาส
ภาพของสุลต่านแห่งโมร็อกโกที่ได้อ่านจดหมายของ Ibrahim
ในที่สุดวันแห่งอิสรภาพของเขาก็มาถึง เขาถูกปลดปล่อยจากการเป็นทาสในปี 1828 รวมเป็นเวลากว่า 40 ปีที่เขาต้องทำงานในไร่ฝ้ายและมีชีวิตเยี่ยงทาส
หลังจากถูกปล่อยตัว เขาตระเวนไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อปราศรัย ก่อตั้งองค์กรการกุศล และส่งเสริมให้มีการปลดปล่อยทาส รวมถึงตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือลูกของเขาที่ยังคงต้องเป็นทาสอยู่ในไร่อีกด้วย
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เห็นมันเป็นผลสำเร็จ เพราะ 4 เดือนต่อมาเขาล้มป่วยและก็เสียชีวิตลง โดยที่ไม่ได้พบหน้าครอบครัวหรือกลับไปยังบ้านเกิดของเขาอีกเลย….
ที่มา: thevintagenews , wikipedia
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.