รักนี้ชั่วนิรันดร์…คู่รักตายายจับมือกันแน่นในวันสุดท้ายของชีวิต และจากไปในเวลาไล่เลี่ยกัน

เราทุกคนล้วนรู้ดีว่าความรักของตัวเองเริ่มต้นขึ้นที่ตรงไหน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าความรักของพวกเขาจะไปสิ้นสุดที่ใด และหากว่าในวันสุดท้ายของชีวิตนั้นมาถึงแล้ว จะสามารถรับมือกับความเจ็บปวดนั้นได้หรือไม่?

เรื่องที่ #เหมียวฟิ้น นำมาเสนอในวันนี้เป็นเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของคู่รักอย่างคุณตา Don และคุณยาย Margaret Livengood วัย 84 และ 80 ปีชาวอเมริกัน ที่แต่งงานและอยู่กินด้วยกันมานานกว่า 59 ปีแล้ว

 

1

 

แต่ในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ทั้งคู่ค่อยๆ แก่ชราตามกาลเวลาและป่วยเป็นโรคหลายอย่าง เช่นนาย Don มีพังผืดที่ปอดและเป็นโรคปอดบวม ในขณะเดียวกันที่นาง Margaret ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็ง

ทั้งคู่ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล Carolinas Healthcare NorthEast ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาเมื่อปลายปี 2015 ที่ผ่านมา

 

การรักษาเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งคู่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ดูแลกันไม่เคยห่าง ครั้งหนึ่งคุณตา Don ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่ตี 4 จนถึงเวลา 3 ทุ่ม แต่คุณยาย Margaret ก็จะอยู่เคียงข้างกับสามีของเธอไม่ห่าง

แม้คุณตา Don จะมีอาการหายใจติดขัดพอสมควร แต่ภรรยาของเขาก็เชื่อว่าอาการทั้งหมดจะดีขึ้นหากพวกเขาได้ไปสวรรค์ด้วยกัน

 

3

 

การที่ทั้งคู่ใช้เวลาในบั้นปลายชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทำให้ลูกสาวของพวกเขาเริ่มเป็นกังวล ว่าหากวันหนึ่ง มีใครสักคนต้องจากไป คนที่ยังอยู่ก็อาจจะต้องนั่งเศร้าและโดดเดี่ยวไปจนวันตาย

วันหนึ่งอาการของคุณยาย Margaret ก็เริ่มแย่ลง นางพยาบาลและทีมแพทย์จึงขยับเตียงของคุณตา ให้เข้ามาอยู่ข้างๆ กับเตียงของภรรยาเพื่อให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันในวาระสุดท้ายของชีวิต

 

2

 

ต่อมาคุณยาย Margaret ก็เสียชีวิตในช่วง 8 โมงเช้าของวันที่ 19 สิงหาคม 2016 โดยที่มีคุณตาคอยกุมมือภรรยาตลอดเวลา

เมื่อคุณตาเห็นว่าภรรยาได้หมดลมหายใจไปแล้ว เขาก็ได้บอกกับลูกว่าตัวเขาเองก็กำลังจะตามไปสมทบกับภรรยาบนสรวงสวรรค์

หลังจากนั้นในช่วงเวลา 5 โมงเย็น คุณตา Don ก็ได้จากไปอย่างสงบ โดยที่มือของคุณตานั้นยังคงกุมมือภรรยาไม่ยอมปล่อย

 

Don กล่าวกับลูกสาวก่อนที่เขาจะจากไปว่า “เมื่อเราต้องไปสวรรค์ เราสามารถเดินไปด้วยกันได้ เหมือนเราได้แต่งงานกันอีกครั้ง และได้ออกฮันนีมูนอีกรูปแบบหนึ่ง”

emo-127

ที่มา dailymail

Comments

Leave a Reply