ความในใจของ “เด็กชายผู้ต้องหา” หลังปาชีสใส่เพื่อนจนเสียชีวิต อ้างคิดว่าแค่เป็นไข้เฉยๆ

เมื่อราวปลายปีที่แล้ว ทาง CatDumb News ได้นำเสนอข่าวการเสียชีวิตของเด็กชาย Karanbir Cheema หรือที่รู้จักกันในชื่อ Karan ผู้ถูกเพื่อนในโรงเรียนแกล้งปาชีสใส่จนถึงแก่ชีวิต

(อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่: เด็กชายวัย 13 ขวบ ถูกเพื่อนแกล้งที่โรงเรียน ‘โยนชีสใส่’ จนนำไปสู่การเสียชีวิต)

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2017 ที่โรงเรียนมัธยม William Perkin Church

 

 

ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2019 นี้เอง ได้มีการอัปเดตข่าวเพิ่มเติมจากฝั่งผู้ต้องหาที่ได้ออกมากล่าวขอโทษผู้ปกครองของ Karan พร้อมอ้างว่าเขาไม่รู้ถึงอาการแพ้ของ Karan มาก่อน

และในตอนแรกเขาคิดว่าผื่นที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากอาการ “เป็นไข้”

 

Karanbir Cheema ผู้เสียชีวิต

 

อย่างไรก็ตาม หนึ่งในเพื่อนโรงเรียนของผู้เสียชีวิตรู้ว่าเขามีอาการแพ้ชีส และผลิตภัณฑ์จากนม ได้นำชีสให้เพื่อนอีกคนหนึ่ง ก่อนที่เพื่อนคนนั้นจะโยนชีสใส่ Karan และเขาก็มีอาการแพ้อย่างรุนแรง

Karan หมดสติ และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่อาการแพ้นั้นร้ายแรงจนทำให้เขาเสียชีวิตในอีก 10 วันต่อมา พร้อมความเศร้าโศกของครอบครัว

ผู้ต้องหามี 2 คน อยู่ในวัย 13 ปี และ 15 ปี ทั้งคู่ไม่สามารถเปิดเผยชื่อได้เนื่องจากเหตุผลทางกฎหมาย ได้แสดงหลักฐานเบื้องต้นสำหรับการพิจารณาคดีในวันนี้

 

 

เด็กผู้ชายที่โยนชีสใส่ Karan ให้การว่าเขาเห็นแค่ผื่นขึ้นเท่านั้น และไม่คิดว่ามันจะร้ายแรง

ส่วนเด็กชายผู้ส่งมอบชีสอ้างว่าถึงเขาจะรู้ว่า Karan แพ้นม แต่เขาก็ไม่รู้มาก่อนว่าชีสเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม

“ในตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมนั้นรวมไปถึงชีส ผมคิดว่ามีแต่นม และโยเกิร์ตเท่านั้น” เด็กชายผู้ส่งมอบชีสกล่าว

ทั้งนี้ Mary Hassell เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพได้ถามต่อว่า “ในเวลานั้นคิดว่าอาการแพ้สำหรับ Karan นั้นเป็นอย่างไร? คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”

เด็กชายตอบว่า “ผมคิดว่าเขาจะมีผื่นขึ้นหรือมีไข้อะไรทำนองนั้น ผมไม่รู้ว่ามันร้ายแรงขนาดนั้น”

“Karan เคยบอกผมในครั้งแรกที่เราเจอกันเมื่อ 2 ปีก่อนว่าเขามีอาการแพ้ นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาบอกกับผม”

 

 

เด็กชายได้เล่าถึงเรื่องราวในวันเกิดเหตุต่อว่า “ผมอยู่ที่โรงเรียน ขณะนั้นเป็นเวลาพักเที่ยงประมาณ 11.00 น. ผมได้แฮมและชีสบาแกตต์จากโรงอาหาร และนำมันไปทานข้างนอกโรงอาหาร”

“ในตอนที่ผมกำลังจะกินเสร็จ เพื่อนอีกคนหนึ่งได้ถามผมว่ามีชีสเหลือมั้ย ผมเหลือชีสอยู่นิดหน่อยจึงเอาให้ไป และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้สนใจอีกเลย”

 

 

ทั้งนี้ Andrew Hogarth QC ผู้เป็นตัวแทนจากครอบครัวของ Karan ได้ถามเด็กชายหนึ่งในผู้ต้องหาว่า “คุณได้บอกเพื่อนที่คุณให้ชีสไปหรือไม่ว่า Karan แพ้ชีส?” และคำตอบที่ได้คือ “ผมไม่ได้บอก”

โดยเด็กชายผู้ลงมือโยนนั้นมักจะเป็นที่รู้กันว่าเขาชอบโยนอาหารใส่เพื่อนนักเรียนคนอื่นทุกวัน

อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเขาและ Karan นั้นแทบจะไม่รู้จักกันเลย และไม่ได้เรียนร่วมห้องกันซะด้วยซ้ำ

เขาให้การต่อว่าเขารู้ว่า Karan แพ้ขนมปังแต่ไม่รู้มาก่อนว่าเขาแพ้นมด้วย

 

Karan กับแม่ของเขาขณะยังมีชีวิตอยู่

 

เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้ถามต่อว่าเขารู้ถึงปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากอาการแพ้หรือไม่ และคำตอบที่ได้รับคือ “ผมคิดว่าเขาอาจมีไข้ และผื่นตามผิวหนัง อาจขาดเรียน แต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต”

พร้อมเล่าถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุต่อว่า “ผมไปรับประทานอาหารกลางวันในช่วงพักตามปกติ ผมหิวมาก และขออาหารจากเพื่อนสักหน่อย”

“เขาส่งชีสชิ้นเล็กๆ ให้ผมทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้ทำให้ผมอิ่มหรอก ผมจึงสะบัดมันใส่ Karan เพราะเขาเป็นคนแรกที่ผมเห็น ผมคิดว่ามันโดนบริเวณคอซ้ายของเขา”

“หลังจากนั้น Karan เพิ่งมาบอกผมว่าเขาแพ้ชีส ผมจึงขอโทษเขาหลังจากนั้น”

เจ้าหน้าที่จึงได้ถามต่อว่า “ทำไมถึงสะบัดชีสใส่เขา?” เด็กชายตอบว่า “ผมก็ไม่รู้ มันเป็นเรื่องปกติตอนที่เราเรียนอยู่ม.2 เราเล่นกับทุกอย่างรอบตัวนั่นแหละ”

 

 

แล้วเขาก็ออกจากที่เกิดเหตุแต่สักพักก็ถูกเรียกตัวไปยังห้องของผู้อำนวยการโรงเรียน และนั่นสร้างความสับสนให้เขามาก เพราะ Karan ต้องเข้าห้องฉุกเฉินเพราะผมเป็นต้นเหตุ

“ผมแค่อยากจะบอกว่าผมไม่ได้ตั้งใจให้มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ผมขอโทษสำหรับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป” เด็กชายผู้ก่อเหตุกล่าว

 

ครอบครัว Cheema ที่ต้องพบกับการสูญเสียในปัจจุบัน

 

ผู้เป็นแม่ได้บอกว่าลูกชายของเธอมักจะระวังเรื่องอาการแพ้ของตัวเองอยู่เสมอ

วันเกิดเหตุเธอได้รับแจ้งจากทางโรงพยาบาลว่าการแพ้ที่เกิดจากการสัมผัสทางผิวหนังนั้นอาจทำให้ผู้แพ้มีอาการช็อก

โดยนักพยาธิวิทยา Dr. Liina Palm แห่ง GOSH กล่าวว่าสาเหตุการเสียชีวิตของ Karan คือกลุ่มอาการของโรคหัวใจวาย

และคดีนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการไต่สวนและยังคงดำเนินการหาหลักฐานเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดต่อไป

 

ที่มา: dailymail, telegraph, theguardian


Tags:

Comments

Leave a Reply