หนุ่มน้อยโตมากับพี่เหมียว ทั้งคู่กลายจึงเป็นพี่น้องต่างสายพันธุ์ที่เข้ากันได้อย่างลงตัว

พ่อแม่มือใหม่ส่วนใหญ่มักจะให้ลูกอยู่ห่างจากสัตว์ เพราะห่วงความปลอดภัยของลูก แต่คุณจะไม่รู้เลยว่าเด็กกับสัตว์เลี้ยงเข้ากันได้ดีแค่ไหน จนกว่าคุณจะปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน

คุณพ่อและคุณแม่ของน้องกัปตันเป็นหนึ่งในพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกมากับแมวเหมียว และพวกเขาก็ได้แชร์เรื่องราวของลูกน้อยกับเจ้าเหมียวลงในโซเชียล เพื่อให้เห็นว่ามันเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่าแค่ไหน

 

 

เรื่องราวของครอบครัวนี้น่าประทับใจตั้งแต่เริ่มเลยละค่ะ โดยก่อนที่พ่อแม่จะแต่งงานกันและมีน้องกัปตัน คุณแม่สิริพร ศิริลักษณ์ ได้พบกับแมวเหมียวตัวหนึ่งที่ถูกทิ้งที่บันไดหนีไฟของคอนโดที่พวกเขาอยู่

คุณสิริพรเห็นแม่บ้านเอาอาหารไปให้เจ้าเหมียวตัวนั้น จึงได้สอบถามแม่บ้านว่ามันเป็นแมวใคร มาจากไหน? จนได้ทราบว่าเจ้าเหมียวเป็นของคนที่เคยอยู่ในคอนโดนี้ แต่พอเจ้าของย้ายออกไป พวกเขาไม่ได้เอามันไปด้วย

 

 

คุณสิริพรรู้สึกสงสารเจ้าเหมียวมาก จึงได้ตัดสินใจรับมาเลี้ยง และตั้งชื่อให้มันว่า ชาคริต… ชาคริตเป็นแมวตัวแรกที่เธอเลี้ยง

หลังจากที่ไปรับเจ้าเหมียวมา คุณสิริพรก็อาบน้ำให้มัน และพาไปฉีดยา…

เนื่องจากคุณสิริพรทำธุรกิจด้านความงาม เธอจึงพาเจ้าชาคริตไปอยู่ที่ร้านด้วย เพียงไม่นานมันก็กลายเป็นขวัญใจสาวๆ ที่มาใช้บริการ

 

 

พี่ชาคริตอยู่กับคุณสิริพรจนกระทั่งเธอแต่งงานกับคุณพ่อน้องกัปตันคือคุณธนวิชช ยายี และทั้งคู่ก็มีลูกด้วยกันใน 2 ปีต่อมา นั่นก็คือ น้องกัปตันนั่นเอง

ในช่วงระหว่างตั้งท้องน้องกัปตัน คุณแม่เล่าว่าเธอได้อุ้มเจ้าชาคริตมาแนบท้อง และพูดกับมันว่า “พี่ชาคริตจะมีน้องแล้วนะ ชื่อพี่กัปตันนะลูก พี่ชาคริตต้องรักน้อง อย่าแกล้งน้องนะ ยอมน้องนะลูก”

คุณแม่พูดแบบนี้ทุกวันและทุกครั้งที่อุ้มพี่ชาคริต ที่สำคัญ แม้ว่าแม่จะมีลูกน้อย แต่เธอไม่เคยให้ความสำคัญกับเจ้าเหมียวน้อยลงเลย เคยกอดมันยังไง ก็ยังทำแบบเดิมกับมันเสมอ

 

 

ขณะเดียวกัน คุณแม่ก็ได้คุยกับน้องกัปตันที่อยู่ในท้องเสมอว่า “มีพี่ชื่อพี่ชาคริตนะลูก ลูกต้องรักพี่ชาคริตนะ” แล้วเชื่อมั้ยว่าทุกครั้งที่คุณแม่พูดชื่อพี่ชาคริต ลูกน้อยจะถีบท้องเธอทุกครั้ง ราวกับเขารู้จักพี่เหมียวเป็นอย่างดี

คุณแม่พูดแบบนี้กับลูกในท้องทุกวันจนถึงวันคลอด…

 

 

หลังจากคลอดน้องกัปตัน คุณแม่ก็ได้พาลูกน้อยกลับมาที่บ้านและมาแนะนำให้พี่ชาคริตรู้จัก เธอบอกเจ้าเหมียวว่า “น้องกัปตันออกมาหาพี่ชาคริตแล้วนะ” 

ในช่วงแรกๆ พี่ชาคริตยังดูสับสน เพราะมันไม่รู้จะเข้าหาน้องยังไง แต่เมื่อน้องกัปตันคลานได้ ทั้งคู่ก็เริ่มเข้าหากันมากขึ้น สนิทกับมากขึ้น และเข้ากันได้เป็นอย่างดี

 

 

เวลาน้องกัปตันเล่นอะไร พี่ชาคริตจะเข้าไปนอนอยู่ข้างๆ และเมื่อน้องร้องขอ หรือเล่นอะไรกับพี่เหมียว พี่เหมียวก็ยอมน้องทุกอย่าง พวกเขากลายเป็นคู่พี่น้องที่ไม่อาจแยกจากกันได้

แต่เรื่องที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้น เมื่อน้องกัปตันกับพี่ชาคริตต้องเข้าโรงพยาบาลพร้อมกัน โดยคุณพ่อได้พาเจ้าเหมียวไปโรงพยาบาลก่อน จากนั้นก็กลับมารับลูกไปโรงพยาบาลเหมือนกัน

 

 

พี่ชาคริตอยู่โรงพยาบาล น้องกัปตันอยู่โรงพยาบาล คุณแม่กับคุณพ่อจึงต้องแยกกันไปเฝ้าไข้ โดยคุณพ่อไปเฝ้าพี่เหมียว ส่วนคุณแม่เฝ้าลูกน้อย

น่าเศร้า คุณหมอไม่สามารถยื้อชีวิตพี่ชาคริตไว้ได้ และมันได้จากไปด้วยโรคชราในเวลาต่อมา ขณะที่น้องกัปตันได้ออกจากโรงพยาบาลพร้อมสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

 

 

ทันทีที่น้องกัปตันกลับมาถึงบ้านและไม่เห็นพี่ชาคริต เขาก็ถามพ่อแม่ว่า “พี่ชาคริตอยู่ไหน?” นั่นเป็นคำถามที่พ่อกับแม่ฟังแล้วปวดใจมากๆ เพราะพวกเขาเองก็ไม่รู้จะตอบลูกยังไง

เวลาผ่านไปนับเดือน น้องกัปตันก็ยังถามถึงมันทุกวัน คุณพ่อกับคุณแม่จึงตั้งใจว่าจะไม่เลี้ยงแมวอีกแล้ว เพราะการจากไปของพี่ชาคริตทำให้พวกเขาเสียใจมาก คุณแม่ร้องไห้ทุกวัน โดยเฉพาะเวลาน้องกัปตันถามหามัน แม่จะน้ำตาไหลหนักสุดๆ

 

 

แต่แล้ววันหนึ่ง น้องที่สนิทกับคุณพ่อและคุณแม่น้องกัปตัน ก็ได้แชทมาบอกว่าแมวที่บ้านคลอดลูก 4 ตัว พร้อมกับส่งรูปมาให้ดู

เมื่อคุณแม่ได้เห็นรูปลูกแมวที่น้องคนสนิทส่งมาให้ เธอนึกถึงพี่ชาคริตทัน เพราะทั้งหน้าและลายของมัน เหมือนเจ้าชาคริตทุกอย่าง

 

 

แม้ตอนแรกตั้งใจว่าแล้วว่าจะไม่รับเลี้ยงแมวอีก แต่พอเจ้าตัวนี้เข้าไป คุณกับคุณแม่ไม่สามารถหยุดคิดถึงมันได้ พวกเขาจึงตัดสินใจรับเลี้ยงมันในที่สุด และได้ตั้งชื่อให้มันว่า ชาคริต เพื่อเป็นตัวแทนพี่ชาคริตที่จากไป

วันแรกที่พาชาคริตน้อยกลับมาบ้าน มันอายุแค่ 3 เดือนเท่านั้น และคนที่ดูตื่นเต้นที่สุด ก็คงจะเป็นน้องกัปตันนี่แหละ เขาเดินเข้าไปหามิ้วน้อยและพูดกับมันว่า “ชาคริต ยูไปไหนมา?” 

 

อย่างที่บอกว่าชาคริตน้อยเหมือนพี่ชาคริตทุกอย่าง เด็กน้อยอย่างกัปตันเลยแยกไม่ออก และเขาคงจะสับสนบ้างเล็กน้อย เพราะขนาดเจ้าชาคริตเล็กกว่าเดิม

ตั้งแต่นั้นมา น้องกัปตันก็เล่นกับเจ้าชาคริตน้อยเหมือนพี่ชาคริตตัวเดิม ในขณะที่ชาคริตน้อยก็สวมรอยเป็นพี่ชาคริตได้อย่างแนบเนียนมากๆ หนูน้อยจึงไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง

 

 

จะว่าสวมรอยคงไม่ถูกซะทีเดียว เพราะชาคริตน้อยขี้เล่นเหมือนพี่เหมียวเลย มันใจดี อ่อนโยน ไม่ทำร้ายพี่กัปตัน และยอมพี่ทุกอย่าง

มิตรภาพของทั้งคู่แน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน พวกเขากลายเป็นเพื่อนรักที่ตัวติดกันตลอดเวลา คือน้องกัปตันคุยกับพี่เหมียวมากกว่าคุยกับพ่อแม่ซะอีก

 

 

พวกเขามีภาษาที่ต่างกันก็จริง แต่เวลาที่น้องกัปตันคุยกับนุ้งชาคริต ดูเหมือนพวกเขาจะคุยกันรู้เรื่อง แน่นอน สำหรับน้องกัปตันแล้ว ชาคริตไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง แต่มันคือเพื่อนคนแรกในชีวิต และเป็นเพื่อนที่น้องรักมากที่สุด

 

 

พวกเขาทำทุกอย่างด้วยกัน ตั้งกิน นอน เล่น จนกลายเป็นคู่หูต่างสายพันธุ์ที่มีพฤติกรรมเหมือนกันเกือบทุกอย่าง ไม่รู้ว่าหนูน้อยโดนเหมียวล้างสมอง หรือเหมียวที่โดนหนูน้อยล้างสมอง

 

 

การได้เห็นมิตรภาพ ความรัก และความผูกพันของทั้งคู่ ทำให้ผู้เป็นพ่อกับแม่รู้สึกภูมิใจมากๆ และทั้งคู่คิดเสมอว่ามันเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่ามากๆ ที่ให้ลูกเติบโตเคียงคู่กับแมวเหมียว

เพื่อนๆ สามารถติดตามมิตรภาพของทั้งคู่ที่ได้ที่เฟซบุ๊ก Kongthap Yayee

 

 

ที่มา Kongthap Yayee


Tags:

Comments

Leave a Reply