Tag: หนีภาษี

  • สื่อไต้หวันตีข่าว การหายตัวไปของ ‘ฟ่าน ปิงปิง’ กว่า 3 เดือน ถูกจับเพราะ ‘หนีภาษี’!!

    สื่อไต้หวันตีข่าว การหายตัวไปของ ‘ฟ่าน ปิงปิง’ กว่า 3 เดือน ถูกจับเพราะ ‘หนีภาษี’!!

    กลายเป็นข่าวเด่นข่าวดังของเมื่อคืนที่ผ่านมาเลยทีเดียวกับกรณีของนักแสดงที่ชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งในเอเชียอย่าง ฟ่าน ปิงปิง ถูกจับกุมในข้อหา ‘หนีภาษี’ หลังจากที่เงียบหายไปนานถึง 3 เดือน เพราะถูกกล่าวหาว่าหนีภาษีจากการใช้วิธีที่เรียกว่า ‘สัญญาหยิน-หยาง’ เป็นระบบการทำสัญญาที่นักแสดงชาวจีนใช้กันเพื่อหลบเลี่ยงการจ่ายภาษี     ยกตัวอย่างเช่น ในงาน 1 งาน นักแสดงจะทำการเซ็นสัญญาไว้ 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งจะเปิดเผยตัวเลขรายได้ให้เห็นอย่างชัดเจนสมมุติว่าเป็น 1 ล้านบาท (เป็นจำนวนเงินที่ถูกหักภาษีไปแล้ว) ส่วนอีกฉบับหนึ่งจะเป็นรายได้อีกจำนวนหนึ่งซึ่งจะไม่นำมาเปิดเผย และในฉบับหลังนี้จะมีจำนวนเงินที่เยอะกว่าฉบับแรกมาก สมมุติว่าเป็น 7 ล้านบาท สรุปแล้วจริงๆ รายได้ของนักแสดงจะอยู่ที่ 8 ล้านบาท ไม่ใช่ 1 ล้านบาทอย่างที่เข้าใจกัน และจากการรายงานของเว็บไซต์ Securities Daily ของประเทศไต้หวัน ได้ระบุว่ามีการค้นพบว่าฟ่าน ปิงปิง ได้ทำการหนีภาษีโดยใช้สัญญาหยินหยางนี้ จากการเซ็นสัญญารับงานแสดงในหนังเรื่อง Cell Phone 2     โดยที่สัญญาแรกมีมูลค่าอยู่ที่ 2 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ (65 ล้านบาท) ส่วนสัญญาที่สองมีมูลค่าถึง 10…

  • ลูกทัวร์เดินหน้าเอาผิดทัวร์หรูของ “ดาราอักษร อ.” ประเด็นไม่หวังกำไร ท้าเปิดรายจ่ายโชว์

    ลูกทัวร์เดินหน้าเอาผิดทัวร์หรูของ “ดาราอักษร อ.” ประเด็นไม่หวังกำไร ท้าเปิดรายจ่ายโชว์

    กำลังเป็นประเด็นดราม่า หลังเพจจัดทริปสุดหรูของดาราถูกแฉว่า เก็บเงินค่าทัวร์แพงเป็นแสน แต่ลูกทัวร์กลับได้ขนมปังสองแผ่น แถมโดนแย่งน้ำดื่มไปกินอีก ทั้งนี้ทางเฟซบุ๊กเพจ Look-Loke / ลูกโลก ก็ออกมาแย้งว่าตนมิได้จัดทัวร์ แต่เป็นการ “พาเพื่อนเที่ยว” เท่านั้น และด้วยเหตุนี้เองทำให้เพจดังกล่าวโดนลูกทัวร์จวกยับประเด็นจงใจหลบภาษี และถูกท้าให้เปิดเผยรายจ่ายจริงที่ใช้ในทริปนั้นๆ     ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Chaianan Sodapak ได้ออกมาเผยว่าใน ทริป Luxury Private ทัวร์ ของเพจท่องเที่ยวซึ่งมี ดาราอักษรย่อ อ. เป็นเจ้าของนั้น ตนต้องจ่ายค่าทัวร์กับเพจนี้เป็นเงิน 139,000 บาท แต่การบริการกลับแย่ ตารางการเดินทางไม่ชัดเจน สถานที่ท่องเที่ยวถูกเปลี่ยนแปลงและน้อยลง แถมยังถูกเปลี่ยนแปลงที่พักโดยไม่แจ้งให้ทราบ เรียกได้ว่า ลูกทัวร์ที่ไปด้วยกันนั้นต้องเที่ยวกันอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าทางเพจเองก็ออกมาตอบโต้ต่างๆ นานา เช่น ไม่ได้เป็นทำธุรกิจนำเที่ยว แต่เป็นเสมือนกับการพาเพื่อนเที่ยวเท่านั้น จึงไม่มีการบริการใดๆ อีกทั้งยังแจงว่าการไปเที่ยว 12 วันเช่นนี้ ปกติแล้วจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 300,000-500,000 บาท จึงตั้งราคาเป็นกันเองให้หลายๆ คนเข้าถึงได้ นอกจากนี้ยังบอกอีกว่าปัญหาที่เกิดทั้งหมดอาจเป็นเพราะเพียงแค่ว่า “เคมีของการไปเที่ยวไม่ตรงกันเท่านั้นเอง” หลังจากที่ทางเพจ Look-Loke / ลูกโลก โต้แย้งมาแบบนั้น ในวันที่ 18 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา…

  • ชาวนอร์เวย์ร้องดัง หลังรัฐเพิ่มภาษีน้ำตาลขึ้น 83% เล่นเอาคนชอบหวานต้องไปซื้อที่สวีเดน

    ชาวนอร์เวย์ร้องดัง หลังรัฐเพิ่มภาษีน้ำตาลขึ้น 83% เล่นเอาคนชอบหวานต้องไปซื้อที่สวีเดน

    ปัญหานี้ในมุมมองคนที่ชอบของหวานแล้ว เรียกว่าเป็นปัญหาระดับชาติเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อทางการประเทศนอร์เวย์ได้ทำการขึ้นภาษีถึง 83% ทำให้ชาวเมืองจำนวนมากจะต้องข้ามแผ่นดินไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อซื้อนมหวานเพราะมีราคาที่ถูกกว่า ส่วนประเทศที่ว่านั่นก็คือประเทศสวีเดนนั่นเอง ซึ่งที่ประเทศดังกล่าวนั้นไม่ได้มีการเก็บภาษีน้ำตาลแต่อย่างใด ฉะนั้นการซื้อขนมในสวีเดนจึงมีราคาไม่แพงมากเมื่อเทียบกับในนอร์เวย์ที่น้ำตาลและช็อกโกแลตมีราคากิโลกรัมละ 145 บาท     ด้านเหตุผลที่ทำให้นอร์เวย์จะต้องตัดสินใจขึ้นภาษีน้ำตาลนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เพราะว่าประเทศนอร์เวย์มีการเก็บภาษีน้ำตาลมาแล้วกว่า 96 ปี โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 1922 ด้วยเหตุผลของการที่รัฐต้องการให้ผู้คนสุขภาพดีโดยเฉพาะเด็กๆ อาจจะอ้วนเกินไปถ้าบริโภคน้ำตาลเป็นจำนวนมาก แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่จะมีการขึ้นภาษี จำนวนเด็กอ้วนในประเทศก็ยังคงมีอัตราที่น้อยกว่าประเทศอื่นๆ อยู่ดี เพราะเทียบกันแล้วนอร์เวย์จะมีเด็กอ้วนในอัตรา 1 ต่อ 6 คน กลับกันแล้วสหรัฐอเมริกานั้นมีอัตราอยู่ที่ 1 ต่อ 3 คน     อย่างไรก็ตาม นอกจากผลเรื่องสุขภาพแล้ว กลุ่มคนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมของหวานก็ออกมาบอกว่า ถ้าเกิดมีการขึ้นภาษีหนักหน่วงขนาดนี้มันอาจจะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดน้ำตาลและของหวานลดลง คนจะหันไปซื้อของหวานหนีภาษีจากประเทศเพื่อนบ้านเยอะขึ้น ซึ่งทางการจะว่าอย่างไรนั้นก็คงต้องรอดูผลกันต่อไป เพราะว่าเดิมทีทางนอร์เวย์ได้วางโร้ดแมพไว้ว่าจะลดจำนวนปริมาณการบริโภคน้ำตาลให้ประชาชนให้น้อยลงเหลือ 12.5% ภายในปี 2021 ส่วนจะได้ผลจริงหรือไม่ก็คงได้แต่ติดตามกันต่อไปนั่นเอง…     ที่มา washingtontimes