เจ้าหน้าที่บุกจับ ประธาน บ.อิตาเลียนไทย ล่าสัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พบซากเสือดำคาแคมป์!!

ตามที่มีการแชร์กันในโลกโซเชียล ถึงข่าวที่มี “ประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่” เข้าไปตั้งแคมป์ล่าสัตว์ในเขตสงวน ทั้งนี้ ทางแคทดั๊มบ์ขออนุญาติคัดลอกเนื้อหาจากเพจ คนอนุรักษ์ มาโดยมีรายละเอียดดังนี้

“คดีทุ่งใหญ่ฯ 2 จับประธานอิตาเลี่ยนไทย ล่าสัตว์ทุ่งใหญ่ฯ

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เวลา 14.00 น จนท ทุ่งใหญ่ตะวันตกได้รับแจ้งว่าพบนักท่องเที่ยวกลุ่มนึง ตั้งแคมป์พักในบริเวณจุดห้ามตั้ง จนทได้เข้าตรวจสอบ พบว่า นักท่องเที่ยวหนึ่งในกลุ่มนี้ คือ นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารอิตาเลี่ยนไทยบริษัทมหาชน

จนท จึงเข้าทำการตรวจสอบบริเวณเต๊นพัก พบซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง จึงได้ทำการขยายพื้นที่ตรวจสอบพบอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และ ปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนอีกมาก ใกล้กับที่พบอาวุธปืนที่ซ่อนอยู่

จนทเข้าตรวจสอบพื้นที่เพิ่มเติม พบ ซากเสือดำ ถูกชำแหละ และ ถลกหนัง บริเวณใกล้เคียงพบเครื่องกระสุนปืนเพิ่มอีกมาก จึงทำการจับกุมเพื่อส่งคดี สภอ.ทองผาภูมิ”

 

 

“รายชื่อผู้ต้องหา

1.) นายเปรมชัย กรรณสูต

2.) นายยงค์ โดดเครือ

3.) นางนที เรียมแสน

4.) นายธานี ทุมมาศ

 

อุปกรณ์ในการกระทำผิด

1. อาวุธปืนยาว (ปืนไรเฟิล) ยี่ห้อ STEYR-MANNLICHER-M หมายเลขตัวปืน 201820 ทะเบียนอาวุธปืน กท.2850473

2. อาวุธปืนยาวลูกซองแฝดเบอร์ 20 ยี่ห้อ AYA-AGUIRRE & ARANZABAL – MADE IN SPAIN หมายเลขตัวปืน 378 และปรากฎเลขทะเบียนอาวุธปืน ก.ท.4552202
3.อาวุธปืนยาวขนาด .22 ยี่ห้อ CZ 452 ZKM SCOUT CZ-USA, Kansas City , US หมายเลขตัวปืน 778590″

 

 

“มีความผิดดังนี้

1. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 36 และมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

2. ฐานร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 16 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

3. ฐานร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 19 และมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

4. ฐานนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าหรือจับสัตว์หรืออาวุธใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามข้อ 1 (1) ของกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบับที่ 7 (พ.ศ. 2538) ออกตามความตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

5. ฐานรวมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507

6. สำหรับความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ขอให้พนักงานสอบสวนดำเนินการแจ้งความกล่าวโทษตามฐานความผิดต่อไป”

 

 

“ในช่วงเช้าของวันที่ 5 ก.พ.61 คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ได้กลับไปตรวจสอบบริเวณแค้มป์พักแรมซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุซ้ำ ตรวจพบสิ่งของและซากสัตว์ป่าเพิ่มเติม ดังนี้

1. จุดที่ 1 อยู่ห่างจากจุดที่ตั้งแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือ ประมาณ 5 เมตร พบหนังเสือดำลักษณะเป็นผืนทั้งตัว โดยถูกชำแหละเนื้อออกไปแล้ว และผืนหนังเสือดำถูกถนอมซากด้วยการทาด้วยเกลือเพื่อมิให้เน่าเสีย วัดขนาดความยาวจากหัวถึงสะโพก 83 เซนติเมตร ความยาวจากหัวถึงหาง 148 เซนติเมตร รวมทั้งพบกะโหลกเสือดำ 1 หัว ชิ้นส่วนทั้งหมดถูกบรรจุอยู่ในถุงดำและมัดปากถุงด้วยเชือก ซุกซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้

2. จุดที่ 2 อยู่ห่างจากแค้มป์พักแรมไปทางทิศเหนือประมาณ 5 เมตร พบกระเป๋าสะพายข้างสีแดงดำ ถูกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าแห้งปิดคลุม เมื่อเปิดดูภายในกระเป๋าพบสิ่งของดังนี้

2.1 กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 2 แรงครึ่ง จำนวน 13 นัด

2.2 กระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ขนาด 1 แรง จำนวน 5 นัด

2.3 เข็มขัดคาดเอวแบบมีช่องเก็บกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 1 เส้น

2.4 กระสุนอาวุธปืนขนาด .22 จำนวน 50 นัด แยกเป็นกระสุนหัวระเบิด จำนวน 11 นัด และกระสุนหัวตะกั่ว จำนวน 39 นัด ทั้งหมดบรรจุอยู่ในกล่องกระสุน 1 กล่อง

2.5 นกหวีดแบบใช้เป่าล่อนก จำนวน 1 อัน

2.5 กระสุนอาวุธปืนไรเฟิล ยี่ห้อ WINCHESTER 30-06 SPRG จำนวน 3 นัด ซึ่งเป็นกระสุนแบบเดียวกันกับที่ตรวจพบในอาวุธปืนยาว (ปืนไรเฟิล) ยี่ห้อ STEYR-MANNLICHER-M หมายเลขตัวปืน 201820 ทะเบียนอาวุธปืน กท.2850473 ข้างต้น

2.6 น้ำมันล้างปืน 1 ขวด

2.7 ไฟฉายสปอร์ตไลต์ยี่ห้อ Metro จำนวน 1 กระบอก

2.8 ช้อนส้อมแบบพับได้ 1 คู่

2.9 มีดพับ 1 เล่ม

3. จุดที่ 3 พบซากเสือดำ 1 ตัว ถูกชำแหละแล้ว รวมน้ำหนักซาก น้ำหนักกะโหลกและเครื่องในได้ 10.6 กิโลกรัม โดยไม่รวมหนังเสือ โดยบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนโดยใช้เศษหญ้าปิดคลุม

 

 

นี่คือโพสต์ที่ทางเฟซบุ๊ก คนอนุรักษ์ ได้โพสต์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้

 

ชาวเน็ตหลายคนมีการตั้งข้อสังเกตุว่า บริษัทดังกล่าวคือบริษัทเดียวกับที่รับงานสร้างอุโมงค์สัตว์ลอดในบริเวณป่าเขาใหญ่ ซึ่งอาจจะมีการตั้งคำถามถึงจริยธรรมของบริษัทในการทำงานเพื่อการอนุรักษ์ ในขณะที่ประธานบริษัทมาทำการล่าสัตว์เองแบบนี้ด้วย…

ที่มา:Sanook และ คนอนุรักษ์

Comments

Leave a Reply