ตำนานของ ‘มิสเซิลโท’ พืชกาฝากที่ผันตัวมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและคริสต์มาส

ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส นอกจากที่เราจะได้เห็นต้นสนที่ถูกตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงามแล้ว พืชอีกชนิดที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้ก็คือ มิสเซิลโท (Mistletoe) พืชกาฝากที่คอยมาแย่งอาหารต้นไม้ แต่กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักซะอย่างนั้น

วันนี้ #เหมียวตะปู จึงชวนเพื่อนมารู้กันว่า ทำไมต้นไม้ที่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของความรักและวันคริสต์มาสได้ อีกทั้งจะต้องไปจูบกันใต้พุ่มพืชชนิดนี้เพราะอะไร?

 

 

หากจะพูดถึงความเป็นมาของเจ้าพืชชนิดนี้ เราคงต้องย้อนกลับไปหลายพันปีเลยทีเดียว ซึ่งชาวกรีกสมัยก่อนเชื่อว่ามันสามารถช่วยรักษาได้ทุกโรค แต่ในความเป็นจริงแล้วพืชชนิดนี้ค่อนข้างจะเป็นพิษกับสัตว์และมนุษย์ เพราะหากบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้และปวดท้องได้

แต่ต่อมามันก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น เมื่อในช่วงคริสต์ศักราช 100 นักบวชเซลติกมองว่าพืชชนิดนี้คือสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ แสดงให้เห็นถึงความชุ่มชื้น เพราะมันจะออกดอกมาตอนช่วงฤดูหนาว ในขณะที่พืชส่วนใหญ่จะล้มตายไปหมด

 

 

อีกหนึ่งตำนานของพืชชนิดนี้ ถูกบันทึกเอาไว้ในเรื่องราวเทพปกรณัมนอร์ส เมื่อเทพ Baldur บุตรแห่งโอดินถูกทำนายเอาไว้ว่าจะต้องตาย Frigg ผู้ซึ่งเป็นแม่จึงพยายามลงมาขอร้องและทำสัญญากับเหล่าสัตว์และพืชต่างๆ ไม่ให้ไปทำร้ายลูกของเธอ แต่เธอกลับลืมที่จะไปเจรจากับมิสเซิลโท จึงทำให้ Loki ใช้ธนูอาบยาพิษจากพืชชนิดนี้ฆ่า Baldur

ต่อมา Baldur ถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง Frigg จึงแต่งตั้งให้มิสเซิลโทเป็นสัญลักษณ์ของความรักและให้คำมั่นไว้ว่าจะจูบทุกคนที่เดินผ่านใต้พืชชนิดนี้

 

 

เรื่องราวดังกล่าวยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของเหตุผลที่ว่า ทำไมต้องไปจูบกันใต้มิสเซิลโท เพราะสาเหตุของเรื่องนั้นเริ่มขึ้นมาจากเทศกาลอันเก่าแก่ของกรีกที่ชื่อว่า Saturnalia จัดขึ้นในวันที่ 17-23 ธันวาคมของทุกปี และธรรมเนียมดังกล่าวก็ถูกนำไปใช้ในงานแต่งงานต่างๆ อีกด้วย

ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ประเทศอังกฤษ และด้วยความที่เทศกาลคริสต์มาสเป็นสิ่งที่เกิดมาจากหลายวัฒนธรรม ธรรมเนียมการจูบนี้จึงได้เข้าไปเป็นส่วนร่วมอีกหนึ่งอย่าง

การขโมยจูบหญิงสาวใต้พืชมิสเซิลโทในวันคริสต์มาส เป็นธรรมเนียมที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศอังกฤษ จนถึงกับมีคนบอกว่า ถ้าหากสาวปฏิเสธการจูบของคุณในวันนั้น นั่นหมายความว่าในอนาคตเธอก็จะปฏิเสธการขอแต่งงานด้วยเช่นเดียวกัน

 

 

หลังจากนั้น ธรรมเนียมดังกล่าวก็ถูกส่งต่อมาในสหรัฐอเมริกา ผ่านบทประพันธ์ของ Washington Irving ในหนังสือเรื่อง The Sketch Book ในช่วงปี 1820 ที่เขียนว่า ผู้ชายจะจูบหญิงสาวที่หมายปอง ขณะที่กำลังเก็บผลจากมิสเซิลโท และจะหมดเวลาลงเมื่อเก็บจนหมดแล้ว

นั่นจึงทำให้การแขวนพุ่มมิสเซิลโทในวันคริสต์มาสกระจายออกไปอย่างแพร่หลายและมีสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงธรรมเนียมการจูบด้วยเช่นกัน

ที่มา: history , businessinsider

Comments

Leave a Reply