เปิดจดหมายสุดซึ้งถึง J.K. Rowling ของแม่ผู้สูญเสียลูกสาวให้กับมะเร็ง ว่า Harry Potter ช่วยพวกเขาไว้ยังไง…

สำหรับเรื่องนี้ #จ่าสิบเหมียว เห็นด้วยกับเค้านะเนี่ย เวลาอ่านหนังสือ ราวกับว่าเราได้เข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการเพื่อหลบหนีความโหดร้ายของความเป็นจริงที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย

และในกรณีของครอบครัวนี้ เรียกได้ว่าหนังสือ Harry Potter ของ J.K. Rowling นั้น ได้เปลี่ยนโลกของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง

Chrissy Hart แม่ของเด็กสาวผู้เป็นมะเร็งก็ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างดี ในจดหมายที่ส่งถึงนักประพันธ์ของหนังสือชุดนี้นั่นก็คือ J.K. Rowling ว่า Harry Potter ช่วยเธอและลูกสาวยังไงจากสถานการณ์อันยากลำบาก และความตายที่คืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะของชีวิต

 

J.K. Rowling

1

 

จดหมายที่คุณแม่ของเด็กผู้เป็นมะเร็ง เขียนถึง J.K. ว่าหนังสือชุดนี้ได้มอบความกล้าให้เธอกล้าเผชิญกับความจริงได้อย่างไร…

3

 

ถึง… J.K. Rowling,

ฉันเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาในฐานะแม่คนหนึ่ง ที่มีลูกสาวเป็นสาวน้อยแสนสวย และแน่นอนฉันรู้ดีว่ามีคนมากมายเคยบอกคุณว่าถ้อยคำและจินตนาการในหนังสือของคุณ ช่วยเหลือพวกเขาและครอบครัวของเขาอย่างไร ทั้งช่วยเกี่ยวกับปัญหาซึมเศร้าต่างๆ แรงบันดาลใจและความเข้มแข็งจากเรื่องราวชีวิตของ เนวิลล์ ลองบัทท่อม ที่เติบโตมาเป็นวีรบุรุษ หรือบางครั้งงานของคุณก็เป็นเพื่อนที่ดีของหนอนหนังสือตัวน้อยผ่ายถ้อยคำที่ร้อยเรียงในนั้น

แต่ถึงกระนั้นฉันก็อยากจะเล่าประสบการณ์ดีๆ เกี่ยวกับสิ่งดีๆ ที่ลูกสาวของฉันได้รับจากงานเขียนของคุณ ลูกสาวของฉันที่ไม่นานมานี้เธอได้ต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็ง ตอนที่ฉันอ่านเรื่องราวจากหนังสือให้ลูกสาวฟัง เธอไม่ได้มีท่าทีชัดเจนว่าชอบตัวละครด้านดีหรือด้านมืดมากกว่ากัน แต่กลับเป็นตัวละครสีเทาๆ มากกว่า ในงานเขียนของคุณนั้นราวกับว่ามอบความหวังเล็กๆ ให้กับลูกสาวของฉัน ว่าทุกๆ การคีโมที่เธอเข้ารับเหมือนเป็นแสงสว่างแห่งความหวังอันริบหรี่ เหมือนกับการได้ขี่เจ้าฮิปโปกริฟฟ์ข้ามทะเลสาบอันเย็นเยือก และทุกๆ ครั้งที่ความเจ็บปวดและความกลัวกัดกินหัวใจน้อยๆ ของเธอ ฉันก็ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเหล่านั้นออกไปด้วยคาถาผู้พิทักษ์

งานเขียนของคุณนั้นราวกับเป็นป้อมปราการที่ให้ลูกสาวตัวน้อยของฉันได้เข้าไปอาศัยอยู่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เลวร้าย และทุกๆ อย่างดูแย่ลง มะเร็งร้ายนั้นราวกับว่าจะพรากทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างไปจากลูกสาวของฉัน แต่หนังสือของคุณ ราวกับเป็นเครื่องกำบังจากความสิ้นหวังให้เราทั้งคู่ได้เข้าไปอาศัยอยู่

และสิ่งที่งานเขียนของคุณสอนฉันน่ะเหรอ?

คุณทำให้ฉันได้รู้ว่าความกล้าของคนเป็นแม่อาจมาในรูปแบบของน้ำตา ฉันอาจไม่มีพละกำลังทางร่างกายที่แข็งแกร่งพอที่จะต่อต้านสิ่งที่จะมาพรากเธอไป แต่ฉันสามารถรักเธออย่างอ่อนโยนได้เหมือนมอลลี่ (แม่ของรอน) ห่วงหาอาทรได้แบบมิเนอร์ว่า (ศาสตราจารย์มักกอนนากัล) คอยปกป้องและซื่อสัตย์เหมือนกับเฮอร์ไมโอนี่ และรอคอยการกลับมาของเธออย่างใจจดใจจ่อราวกับเป็นลิลลี่ (แม่ของแฮร์รี่)

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณได้สอนเราทั้งคู่นั่นก็คือ ถึงแม้มะเร็งร้ายจะพรากเธอไปจากฉันอีกภายในไม่กี่สัปดาห์นี้ ฉันอาจไม่สามารถปกป้องเธอจากความเจ็บปวดที่จะได้รับได้ และสำหรับเด็กๆ ทุกคนที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ผู้คนจะมารวมตัวกัน ยืมล้อมกอดเป็นวงกลมแล้วชูไม้กายสิทธิ์ขึ้นเพื่อส่องประกายเจิดจ้าในค่ำคืนอันมืดมิดด้วยความรักของพวกเขา

คุณได้สร้างฮอกวอตส์ขึ้นมา ราวกับว่ามันเป็นบ้านอีกของเธอที่เธอกำลังจะกลับไป สำหรับฉันก็เช่นกัน…

สำหรับสิ่งนี้ฉันเป็นหนี้บุญคุณคุณ ตลอดไป…

Chrissy

 

ซึ่งตอนนี้ลูกสาวของ Chrissy ก็ได้เสียชีวิตลงไปแล้วล่ะเมื่อราวๆ สัปดาห์ก่อน

2

 

 

อ่านเรื่องราวนี้แล้วรู้สึกประทับใจจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าพลังจากถ้อยคำและจินตนาการจะมีพลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้ขนาดนี้ เพื่อนๆ ล่ะรู้สึกยังไงกับเรื่องราวนี้บ้าง แชร์ประสบการณ์กันได้นะจ๊ะ ^^

ที่มา: Aplus, Mashable

Comments

Leave a Reply