ปากคำจาก 2 ฝ่าย.. พ่อทหารบอก “ลูกฉันธรรมะธัมโม” เชื่อว่าเคยมีปัญหากันมาแต่ชาติก่อน

ประเด็นที่หลายๆ คนต่างให้ความสนใจกันเมื่อวานนี้ (30 พ.ค. 2019) กับกรณี “หนุ่มข้าราชการทหาร (ยศเรือตรี) ถีบรถ หวิดโดนรุมประชาทัณฑ์” ซึ่งได้มีการสอบปากคำกันไปในช่วงบ่ายวันเดียวกันนั้น

 

อ่านข่าวเก่าได้ที่ลิงก์: สอบปากคำ ‘หนุ่มข้าราชการถีบรถ’ ที่แท้เป็นทหาร อ้างอีกฝ่ายขับแช่-ลงมาทุบรถตนก่อน

 

คลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

ล่าสุด ทางเว็บไซต์ สปริงนิวส์ ก็ได้เผยถึงคำให้การของทั้ง 2 ฝ่าย (ทั้งฝั่งหนุ่มข้าราชการทหาร และหญิงสาวคู่กรณีที่เห็นในคลิป) งั้นเราลองไปดูกันดีกว่าว่าพวกเขาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

 

ฝั่งทหารหนุ่ม

อย่างที่เราทราบกันไปตั้งแต่ข่าวก่อนหน้านี้แล้วว่า ทางฝั่งทหารหนุ่มชุดกากีนั้นได้กล่าวอ้างว่า ในตอนแรกคู่กรณี “ขับปาดหน้าตนแล้วมาแช่อยู่เลนซ้าย” แต่ไม่ยอมเลี้ยวซ้ายสักที จึงมีการบีบแตรไล่กันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้

อีกทั้งเขายังบอกว่าคู่กรณีชายหญิงตามที่เห็นในคลิปนั้นเป็นฝ่ายที่ “ลงมาทุบรถของตนเองก่อน” เขาเลยทำการทุบกลับไป ซึ่งในเบื้องต้น คำให้การของเขานั้นยังคงไม่มีอะไรเพิ่มเติม

 

 

ฝั่งคู่กรณี

น.ส.สุนาวรี อินดิบ วัย 32 ปี อาชีพช่างเสริมสวย เธอคือหญิงสาวคู่กรณีตามที่เราเห็นในคลิป โดยเธอยืนยันว่า “ไม่ได้ขับรถปาดหน้าคู่กรณี” ตามที่ถูกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

แต่ขณะเกิดเหตุนั้น ทางฝั่งทหารหนุ่มได้พยายามขับจี้ท้ายรถของตนและบีบแตรตลอดทาง ก่อนที่ทหารหนุ่มจะตะโกนต่อว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย มีการพาดพิงไปถึงบุพการีของตน

น.ส.สุนาวรี กล่าวว่า นายทหารคนนั้นตะโกนออกมาว่า “ทำไมนำสติกเกอร์ปิดป้ายทะเบียนรถ พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ มันผิดกฎหมาย” คำพูดนั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกโกรธมาก แต่ก็พยายามที่จะไม่สนใจ

สำหรับเหตุผลว่าทำไมถึงต้องนำสติกเกอร์มาปิดทับเลขเดิมนั้น เธอกล่าวว่า นั่นเป็นเพราะตนเองไม่ถูกโฉลกกับเลข 1 และ 5

 

คลิปเหตุการณ์ในอีกมุมหนึ่ง

 

น.ส.สุนาวรี เล่าถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้นว่า ตนทำใจให้เย็นและคิดว่าพอไฟเขียวเดี๋ยวก็คงไม่มีอะไรแล้ว จากนั้นตนก็พยายามขับรถหนี แต่นายทหารหนุ่มยังคงไม่ยอม ขับจี้หลัง บีบแตร จนนำไปสู่การตะโกนด่าทอกันไปมา

กระทั่งติดไฟแดงอีกครั้ง นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในคลิป เมื่อนายทหารหนุ่มลงมาถีบท้ายรถของเธอ ก่อนที่จะพยายามขับรถหนี ด้วยความโมโหเธอจึงวิ่งไล่ตามและใช้ศอกทุบกระจกรถของนายทหารคนนั้น

 

 

ในตอนนั้น เธอบอกว่านายทหารได้ย้ายไปนั่งเบาะฝั่งข้างคนขับด้วยอาการตกใจ พร้อมตะโกนใส่ร้าย น.ส.สุนาวรี ว่าพวกเธอไปทำร้ายร่างกายเขา พยายามฆ่า และบอกว่าพวกเธอเมายา

อีกทั้งยังมีการข่มขู่ประมาณว่า รู้มั้ยว่าเขาเป็นใคร บอกที่ใส่ชุดข้าราชการนี่ก็เพราะว่าเป็นทหาร รู้จักอัยการและผู้ใหญ่หลายคน แถมยังบอกว่าจะเอาเรื่องพวกเธอให้ถึงที่สุดด้วย

อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเรื่องนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็ได้มีการลงมาเจรจากัน ซึ่งนายทหารหนุ่มได้บอกให้พวกเธอชดใช้ค่าเสียหาย ค่ากระจกรถเป็นจำนวนเงิน 8,000 บาท

น.ส.สุนาวรี ยินยอมที่จะจ่ายค่าเสียหายให้ เนื่องจากยอมรับว่าตนเองก็มีการบันดาลโทสะจริง

 

 

มี “ทหารยศนายพล” อ้างว่าเป็นพ่อของนายทหารหนุ่มคนดังกล่าว

หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าไปสอบปากคำ ก็มี “นายทหารระดับสูงยศนายพล” ผู้บอกว่าเป็นพ่อของนายทหารชุดกากี เดินทางไปยัง สน.ศาลาแดง พร้อมบอกกับผู้สื่อข่าวว่า “ลูกชายอาจจะเป็นผู้ถูกกระทำก่อน”

ทหารยศนายพลคนนั้นกล่าวว่า ปกติแล้วลูกชายไม่ใช่คนแบบนี้ แต่จะยึดเอาความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ถ้าใครทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเขาก็จะไม่ยอม

 

 

เขายังบอกอีกว่า ก่อนหน้านี้ลูกชายเคยได้รับประกาศนียบัตรจากพระชั้นผู้ใหญ่ระดับประเทศ แสดงให้เห็นว่าเป็นคนธรรมะธัมโม และอยู่ในโอวาทเสมอ

ท้ายที่สุดแล้ว ทหารยศนายพลก็ไม่อยากให้มีการเรียกค่าเสียหายใดๆ ในเรื่องของคดีความ อยากให้อภัยซึ่งกันและกัน แต่ทว่าลูกชายไม่ยอม นอกจากนั้นตนก็เชื่อว่าที่มีปัญหากันนี้ “อาจเคยมีเรื่องกันมาตั้งแต่อดีตชาติ” ก็เป็นได้

 

 

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.กฤตินาท ตุลยลักษณ์ ผู้กำกับ สน.ศาลาแดง กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวยังคงอยู่ระหว่างการสอบปากคำเพิ่มเติม ยังไม่มีการแจ้งข้อหาใดๆ พร้อมยืนยันที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย

 

ที่มา: springnews


by

Tags:

Comments

Leave a Reply