คุณตานั่งกินข้าวกับรูปของภรรยาผู้จากไป ‘จะขอทำอย่างนี้ทุกวัน จนกว่าจะหมดลมหายใจ’

สำหรับคนบางคน ความรักความซื่อสัตย์ที่มีให้กับคู่ชีวิตแม้ความตายก็ไม่อาจพรากไปได้ อย่างเช่นในกรณีของคุณตาคนหนึ่งที่นั่งกินข้าวต่อหน้ารูปภาพของคุณยายอยู่ทุกๆ วัน แม้ว่าเธอจะไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้วก็ตาม…

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20 พ.ค.) เฟซบุ๊ก Teerapong Wivasuk ได้แชร์รูปภาพรูปหนึ่งที่ทำเอาชาวเน็ตน้ำตาสะเทือน ซึ่งก็คือภาพของคุณตาคนหนึ่งนั่งกินข้าวอยู่ต่อหน้ารูปของภรรยาที่จากไป

 “คุณไม่เคยสูญเสียคนที่รัก คุณไม่รู้หรอกการพลัดพรากจากกันมันเป็นยังไง #สงสารตาจัง …ที่ตาต้องมานั่งกินข้าวกับรูปยายทุกวัน” แคปชั่นของภาพ

 

รูปดังกล่าวได้รับการพูดถึงอย่างเป็นวงกว้างและมีการแชร์ออกไปแล้วเกือบๆ 30,000 ครั้ง ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวสปริงนิวส์ จึงลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ สอบถามเรื่องราวเพิ่มเติม ซึ่งก็ได้ความว่า

 

 

คุณตาในภาพคือคุณตาบัว อายุ 74 ปีอยู่กินกับคุณยายเหลืองผู้เป็นภรรยามานานแล้วกว่า 56 ปี มีลูกด้วยกัน 6 คนแบ่งเป็นผู้ชาย 3 คนและผู้หญิง 3 คน

 

 

ตลอดทั้งช่วงชีวิตที่อยู่ด้วยกันมาทั้งสองไม่เคยแยกจากกันไปไหนไกล เจอกันตลอดไม่ว่าจะเป็นตอนทำงานหรือในยามที่อยู่บ้าน แต่ว่าก็เกิดโชคร้ายขึ้นเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

นั่นก็คือความที่คุณยายเหลืองป่วยด้วยโรคมะเร็งตับและรังไข่ ซึ่งในช่วงเวลานี้คุณตาก็ดูแลอยู่ตลอด แต่หลังจากนั้นคุณยายก็เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา

 

 

หลังการจากไปของภรรยาผู้เป็นที่รัก คุณตาบอกว่าเสียใจมากๆ และยอมรับว่ายังทำใจไม่ได้ จึงได้นำรูปของภรรยามาตั้งไว้บนเก้าอี้และนั่งกินข้าวด้วยทั้งมื้อเช้า กลางวัน และเย็นเหมือนกับตอนที่เธอยังมีชีวิต

ในแต่ละมื้อคุณตาจะเตรียมข้าวมาสองจาน กับข้าวที่ภรรยาชื่นชอบ (ส่วนมากจะเป็นเมนูปลาและน้ำพริก) และเรียกภรรยามานั่งกินข้าวด้วยทุกครั้งเสมือนกับตอนเธอยังมีชีวิตอยู่ที่ทั้งสองจะกินข้าวด้วยกันทุกวัน

นอกจากนี้ตอนนอนคุณตาก็จะนำรูปของภรรยาไปตั้งไว้บนหัวเตียง รวมถึงเรียกภรรยาไปนอนด้วยอยู่เสมอ…

 

 

ท้ายที่สุดคุณตายืนยันว่าเขาจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดลมหายใจ และอยากจะให้สิ่งที่เขาแสดงความรักต่อภรรยาเช่นนี้ เป็นแบบอย่างให้กับลูกหลานได้ทำตามต่อไป

 

 

นี่อาจเป็นหนึ่งตัวอย่างของความรักความซื่อสัตย์ที่ชายคนหนึ่งมีต่อภรรยาที่เขารัก ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องราวที่น่าประทับใจมากๆ เพื่อนๆ ว่าไหมล่ะ…

 

ที่มา: springnews, Teerapong Wivasuk


by

Tags:

Comments

Leave a Reply